นายสิงหะ นิกรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า สคฝ.ได้เริ่มการคุ้มครองเงินฝากตั้งแต่ ส.ค.51 ซึ่งคุ้มครอง 100% และได้ปรับลดเหลือการคุ้มครองเงินฝาก 50 ล้านบาท/บัญชีในปัจจุบัน และจะลดเหลือ 1 ล้านบาท/บัญชี ใน ส.ค.55 อย่างไรก็ตามวงเงินการคุ้มครองสามารถทบทวนและเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ซึ่งในต่างประเทศหลังเกิดวิกฤติซัพไพร์มเมื่อปี 51 ก็ได้มีการปรับเพิ่มวงเงินการคุ้มครองเงินฝาก
ทั้งนี้ มองว่า การที่มีแนวคิดให้ สคฝ.ปรับเพิ่มวงเงินการคุ้มครองเงินฝากกลับไปเป็น 100% มองว่าอาจจะแง่ผลกระทบทั้งในแง่ของผู้ฝากเงินที่อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝากเงินในสถาบันการเงินที่มีความมั่นคง แต่จะมองด้านผลตอบแทนมากกว่า ขณะที่สถาบันการเงินเองก็จะไม่มีการดูแลความแข็งแกรง และนำไปสู่การเกิดปัญหา Moral Hazard เหมือนในอดีต
"หลังการเกิดวิกฤติปี 40 ซึ่งทั่วโลกมีการพิสูจน์แล้วว่าการคุ้มครองเงินฝาก 100% เกิดผลเสียในแง่พฤติกรรมผู้ฝากเงินที่ไม่สนใจว่าสถาบันการเงินนั้นจะแข็งแรงหรือไม่ แต่จะดูเรื่องดอกเบี้ย ผลตอบแทนเป็นหลัก ดังนั้น จึงควรมีการวางกรอบเพื่อให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการฝากเงิน และอีกด้านสถาบันการเงินจะต้องมีการระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจไม่ให้เกิดปัญหา"นายสิงหะ กล่าว
สำหรับระดับการคุ้มครองวงเงินฝากที่จะเพิ่มขึ้น ควรจะอยู่ระดับใดที่เหมาะสมนั้น คงไม่สามารถให้ความเห็นได้ ขึ้นอยู่กับผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ส่วนของการปรับลดอัตราส่งเงินของธนาคารพาณิชย์เข้า สคฝ.จาก 0.40% เหลือ 0.01% ของฐานเงินฝากนั้น จะเหลือเงินนำส่งเพียง 700 ล้านบาท/ปี จากเดิมที่ 28,000 ล้านบาท/ปี และ ณ 31 ม.ค.55 สคฝ.มีเงินกองทุน 1 แสนล้านบาท ถือเป็นระดับเพียงพอในการคุ้มครองเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้ ที่ระบบสถาบันการเงินไทยยังแข็งแกร่ง หลังจากมีบทเรียนจากวิกฤติปี 40 ทำให้สถาบันการเงิน และประชาชนมีการปรับตัว มีการระมัดระวังป้องกันความเสี่ยง ประกอบกับขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวได้ดีขึ้น
"ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ดี และแบงก์พาณิชย์แข็งแกร่ง เพราะมีระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงค่อนข้างมั่นคง มีกว่า 1 เท่าจากที่แบงก์ชาติกำหนด ซึ่งค่อนข้างมั่นคงสูง โอกาสที่แบงก์จะมีปัญหาจนถูกปิดมีน้อยมาก" นายสิงหะ กล่าว
ด้านนายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการ สคฝ. กล่าวว่า แม้ สคฝ.จะเหลือเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เพียง 0.01% แต่ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อระบบการคุ้มครองเงินฝากประชาชน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินไทยมีความแข็งแกร่ง ไม่มีสัญญาณทางลบใดๆ และ ธปท.มีการกำกับดูแล ตรวจสอบสถาบันการเงินอย่างเข้มงวดมากขึ้น ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความไม่มั่นคงทางการเงินของสถาบันการเงินมีน้อยมาก และยังดำเนินธุรกิจที่สร้างกำไรได้ดีต่อเนื่อง
แต่หากกรณีเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดต่อสถาบันการเงินนั้น สคฝ.ในฐานะหน่วยงานราชการ ซึ่งมีตัวแทนจากกระทรวงการคลัง ธปท. อัยการ ผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความร่วมมือจากหน่วยราชการในการแก้ปัญหาและดูแลผู้ฝากเงิน