นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีองค์กรคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (เอฟเอทีเอฟ) ขึ้นบัญชีดำประเทศไทยเป็นประเทศที่ล้มเหลวหรือไม่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการมาตรการทางการเงินระดับสากล ว่า องค์กรดังกล่าวห่วงใยที่ปัญหาการฟอกเงินเกี่ยวกับการก่อการร้าย ซึ่งได้ระบุว่าในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลที่แล้วได้มีการออกแผนปฏิบัติการ ว่าสิ่งที่ต้องการคือการเดินหน้าตามแผนปฏิบัติการนั้น โดยหัวใจสำคัญคือการเร่งออกกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ซึ่งสิ่งที่ตนคิดว่าจำเป็นอย่างมากก็คือ รัฐบาลและรัฐสภา ต้องเร่งออกกฎหมายเพื่อให้มีมาตรฐานเกี่ยวกับการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย เป็นที่ยอมรับในระดับของสากล ตนคิดว่าในระดับนโยบายจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์กรที่เข้ามาดูแลในเรื่องเหล่านี้ เมื่อรัฐบาลที่แล้วทางรัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็ทำงานอย่างใกล้ชิด เพราะทราบว่าจะมีความคาดหวังในหลายเรื่องที่ต้องการผลักดันให้มีความคืบหน้า ซึ่งบางครั้งต้องให้ฝ่ายนโยบายไปอธิบายถึงข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ขบวนการการตรากฎหมายซึ่งต้องใช้เวลา เพราะถ้าไม่มีคนระดับสูงที่เข้าไปติดตามก็จะเป็นปัญหาได้ ทั้งเนื้อหาสาระรัฐบาลต้องเร่งทำและในที่สุดแล้วเราก็จะได้ไม่อยู่ในบัญชีนี้
"2-3 ปีที่ผ่านมาก็เห็นข้อจำกัดของกระบวนการ เขาก็ยอมรับว่าในระดับของการเมืองมีความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่เขาก็พูดถึงว่าความล่าช้าที่จะเดินตามแผนปฏิบัติการถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ผมคิดว่าเหตุการณ์ในช่วงหลังที่เกิดเกี่ยวกับเหตุระเบิด ข่าวเรื่องการก่อการร้าย หรือการก่อวินาศกรรม ตรงนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้และให้ความมั่นใจ และสิ่งสำคัญคือการเร่งนำเสนอกฎหมายเพื่อให้กฎหมายเราเป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวัง ส่วนที่จะต้องมีการเพิ่มฐานความผิดของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ด้วยหรือไม่นั้น คิดว่ามีข้อเสนอแนะหรือเป็นมาตรฐาน ถือว่าเป็นที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องเร่งผลักดัน" นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหระบการตรวจตราเข้า-ออกประเทศไทย และการตรวจสารตั้งต้นต่างๆ ควรเข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือเป็นส่วนสำคัญ แต่ในส่วนนี้จะเป็นเรื่องการฟอกเงินหรือเส้นทางการเงินที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรม เขาอยากเห็นเรามีมาตรฐานในเรื่องนี้