นายมุสตาฟา มูฮัมหมัด รมว.การค้าระหว่างและอุตสาหกรรมของมาเลเซียกล่าวว่า มาเลเซียได้รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น 12.3% สู่ระดับ 3.29 หมื่นล้านริงกิต (1.09 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2554 ซึ่งจากระดับ 2.93 หมื่นล้านริงกิต (9.71 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2553 และสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤติการเงินโลกที่ 2.91 หมื่นล้านริงกิต (9.65 พันล้านดอลลาร์) อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ภาคการผลิตได้รับเม็ดเงิน FDI ในสัดส่วนที่สูงที่สุดที่ 1.65 หมื่นล้านริงกิต (5.47 พันล้านดอลลาร์) ตามมาด้วยภาคบริการ เหมืองแร่และถ่านหิน และ ภาคการเกษตรตามลำดับ ในขณะที่ยอดการอนุมัติโครงการในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 19% แตะที่ 5.61 หมื่นล้านริงกิต (1.861 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2554 เมื่อเทียบกับปี 2553
เม็ดเงิน FDI จากญี่ปุ่นมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 1.01 หมื่นล้านริงกิต (3.35 พันล้านดอลลาร์) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 5.1 พันล้านริงกิต (1.69 พันล้านดอลลาร์) และ สหรัฐ สิงคโปร์ และ ซาอุดิอาระเบียตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน เม็ดเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติในภาคการผลิต บริการ และ สาธารณูปโภคพื้นฐาน มียอด รวมเพิ่มขึ้น 40.7% ที่ระดับ 1.486 แสนล้านริงกิต (4.929 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2554
นายมุสตาฟาคาดว่า ยอดอนุมัติเงินลงทุนในปีนี้จะยังคงอยู่ที่ระดับเดียวกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน สำนักข่าวซินหัวรายงาน