น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ประเทศไทอาจจสูญเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในไม่ช้านี้ เนื่องจากรัฐบาลยืนยันที่จะหนุนราคาข้าว แม้ว่าต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
น.ส.กอบสุขกล่าวว่า ประเทศคู่แข่งรายสำคัญของไทยได้แก่ เวียดนาม อินเดีย และ พม่า และกล่าวว่า "เวียดนามเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเวียดนามมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 1"
น.ส.กอบสุขคาดว่าเวียดนามจะแซงหน้าไทยภายใน 5 ปี แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเวียดนามจะแซงไทยได้เมื่อไหร่ภายในช่วงดังเวลากล่าว ขณะที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐคาดว่า ทั้งไทยและเวียดนามอาจส่งออกข้าว 6.5 ล้านตันเท่ากันในปี 2555
ทั้งนี้ ไทยและเวียดนามมีสัดส่วนการส่งออกข้าวรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกข้าวของโลกที่ 35 ล้านตันในปี 2554 แต่อย่างไรก็ดี สัดส่วนของทั้งสองประเทศได้ปรับตัวลดลงหลังการส่งออกของอินเดียมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
น.ส.กอบสุขกล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ พม่ายังเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งที่น่ากลัวในระยะยาว เนื่องจากพม่าซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็น "อู่ข้าวของเอเชีย" กำลังพยายามฟื้นฟูการส่งออกข้าวของประเทศ
รัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นที่จะรับซื้อข้าวในปริมาณสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ ในราคาที่อยู่ในระดับสูงเพื่อสร้างความพอใจให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นการผลักดันราคาข้าวในประเทศไทยให้ขยับสูงขึ้น รวมทั้งทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
น.ส.กอบสุขกล่าวว่า ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยปรับตัวลดลง 50% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมียอดส่งออกเพียง 700,000 ตันในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2555 พร้อมระบุว่า โครงการรับซื้อข้าวของรัฐบาลเป็นอุปสรรคที่สำคัญ
ผู้ส่งออกข้าวไทยเสนอราคา FOB สำหรับข้าวสารที่ 550 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าอินเดียอยู่แล้วถึง 100 ดอลลาร์ แต่รัฐบาลยังมีแผนที่จะผลักดันราคาข้าวให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 800 ดอลลาร์ต่อตัน น.ส.กอบสุขกล่าวเสริม
นักวิเคราะห์เชื่อว่า รัฐบาลไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลจำนวน 3 ล้านตันได้แน่นอน ในขณะที่ปกติแล้วไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้สูงถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยรัฐบาลไทยพยายามรับซื้อข้าวจากเกษตรกรทุกรายมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีรายงานการขายข้าวจากสต๊อกของรัฐบาลให้กับต่างประเทศหรือภาคเอกชน
บทสัมภาษณ์โดย สำนักข่าวซินหัว