คณะกรรมการบริการการเงิน (FSC) ของเกาหลีใต้เล็งคุมเข้มกฎระเบียบการปล่อยเงินกู้ให้กับภาคครัวเรือนของสถาบันการเงินนอกภาคธนาคาร อันเป็นความพยายามที่จะชะลออัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วลง
แถลงการณ์ของ FSC ระบุว่า สถาบันการเงินนอกภาคธนาคาร ซึ่งรวมไปถึงสหกรณ์และบริษัทประกันภัย จะต้องลดอัตราเงินกู้ต่อเงินฝากของสถาบันลงให้ต่ำกว่า 80% ภายใน 2 ปี และต้องเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับเงินกู้ที่มีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากโดยเฉลี่ยของสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารจะอยู่ที่เพียง 70% แต่ 14% ของสหกรณ์จำนวน 2,500 แห่งในเกาหลีใต้มียอดเงินกู้ยังค้างชำระสูงกว่า 80% ของยอดเงินฝาก
นายจึง อุน โบ ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายนโยบายการเงินของ FSC กล่าวว่า “เพื่อช่วยให้นโยบายใหม่มีผลกระทบไม่มากนัก ในเบื้องต้น เราจะเริ่มดำเนินการควบคุมที่ทั้ง 14% ของสหกรณ์"
นอกจากนี้ นายจึงยังเรียกร้องให้สถาบันการเงินนอกภาคธนาคารเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ รวมทั้งป้องกันไม่ให้บริษัทประกันภัยส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือหรือแผ่นพับเพื่อยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับผู้ขอกู้ นอกจากนี้ ทางสำนักงานยังจะดำเนินการทดสอบคุณภาพของทรัพย์สินของบริษัทประกันภัยที่มียอดหนี้สินของภาคครัวเรือนขยายตัวอย่างรวดเร็ว
มาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังยอดหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของภาคครัวเรือนในสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารทำให้เกิดความวิตกว่า อาจจะบั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเกาหลีใต้ได้กำหนดกฎระเบียบการปล่อยเงินกู้ที่เข้มงวดสำหรับธนาคารพาณิชย์ของเกาหลีใต้ในเดือนมิถุนายน 2554 เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารลดการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนลง แต่อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ภาคครัวเรือนกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารมากขึ้น
“อัตราการขยายตัวของยอดเงินกู้ของครัวเรือนในภาคธนาคารได้ชะลอตัวลงหลังการใช้มาตรการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารกลับเพิ่มขึ้น" นายจึงกล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดเงินกู้ของภาคครัวเรือนในสถาบันการเงินนอกภาคธนาคารมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่ากว่าในภาคธนาคาร โดยมียอดทั้งหมดที่ 402.3 ล้านล้านวอน ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากยอด 193.8 ล้านล้านวอน ณ สิ้นปี 2547 โดยในช่วงเวลาเดียวกัน ยอดเงินกู้ในภาคธนาคารได้เพิ่มขึ้นจากจำนวน 276.3 ล้านล้านวอน ในปี 2547 มาอยู่ที่ 455.9 ล้านล้านวอน ณ สิ้นปี 2554 สำนักข่าวยอนฮับรายงาน