สกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (28 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนแห่ถือครองสกุลเงินยูโรก่อนที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะอัดฉีดเงินกู้ระยะเวลา 3 ปีให้กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นสภาพคล่องในระบบธนาคารให้ไหลเวียนดีขึ้น
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.45% แตะที่ 1.3459 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3399 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สกุลเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.47% แตะที่ 1.5894 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5819 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับลง 0.09% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 80.470 เยน จากระดับ 80.540 เยน และร่วงลง 0.48% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.8952 ฟรังค์ จากระดับ 0.8995 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.12% แตะที่ 1.0767 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0754 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.23% แตะที่ 0.8374 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8393 ดอลลาร์สหรัฐ
ในการซื้อขายช่วงเช้าตามเวลาสหรัฐเมื่อวานนี้ สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลกรีซ ลงมาอยู่ที่ระดับ "ผิดนัดชำระหนี้บางส่วน (selective default)" จากระดับ CC หลังจากนักลงทุนภาคเอกชนที่ถือครองพันธบัตรของกรีซยินยอมรับการขาดทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือกรีซ ด้วยการยอมรับเงื่อนไขการปรับลดมูลค่าหน้าตั๋วพันธบัตรของรัฐบาลกรีซลง 53.5% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะช่วยลดภาระหนี้สินของกรีซ
แต่ S&P มองว่าการปรับลดมูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตรรัฐบาลกรีซลงมาอยู่ที่ระดับ 53.5% จากเดิมที่เคยประมาณการไว้ที่ 50% นั้น สะท้อนให้เห็นว่าศักยภาพในการชำระหนี้ของกรีซอ่อนแออย่างมาก
อย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นในช่วงบ่ายของการซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองในแง่บวกต่อข่าวที่ว่าอีซีบีจะปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำรอบ 2 ระยะ 3 ปีให้กับธนาคารพาณิชย์ในวันพุธ เพื่อช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบการธนาคารของภูมิภาค ซึ่งนักวิเคราะห์คาดกันว่าอีซีบีจะจัดสรรสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการธนาคารในวงเงินราว 5 แสนล้านยูโร
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอันเนื่องมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้ออสินค้าคงทนลดลง 0.4% ในเดือนม.ค. ซึ่งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเดือนม.ค. 2552 และเทียบกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ประเมินไว้ว่าจะลดลง 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนธ.ค.
ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยว่า ราคาบ้านเดือนธ.ค.ของสหรัฐ ลดลง 0.5% โดยดัชนีราคาบ้านในเขตเมือง 20 แห่ง ปรับลงมาแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2546 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2554, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือนก.พ. และดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์คเดือนก.พ.