นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีพาณิชย์จีนคาดว่า จีนจะก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการค้า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันจีนรั้งอันดับ 2 ในฐานะผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก
นายเฉินกล่าวในงานสัมมนาแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งว่า ยอดค้าปลีกในจีนได้ขยายตัวในอัตรา 16-18% ต่อปีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการขยายตัวของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยนายเฉินได้แสดงความมั่นใจต่อกำลังซื้อของจีน
ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ ในขณะที่จีนเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่สุดมาตั้งแต่ปี 2552 ส่งผลให้จีนเป็นผู้ซื้อสินค้าไฮ-เอ็นจากต่างประเทศรายสำคัญ ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ผลิตสินค้าคุณภาพสูงให้กับตลาดโลกในต้นทุนที่ต่ำ นายเฉินระบุ
นายเฉินกล่าวเสริมว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ควรส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อสร้างเสถียรภาพการเติบโตโดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนมากนัก ในขณะเดียวกันก็เปิดตลาดภายในประเทศและอำนวยความสะดวกด้านการค้าให้สอดคล้องกับสภาวะของประเทศ
นายหลี่ เคอเฉียง รองนายกรัฐมนตรีจีนได้กล่าวในการประชุมดังกล่าวว่า จีนซึ่งกำหนดเป้าหมายการขยายตัวของจีดีพีไว้ที่ระดับ 7.5% จะเร่งปฏิรูปรูปแบบการขยายตัวและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อรับประกันการเติบโตที่ยั่งยืน
นายหลี่ระบุว่า จีนยังคงมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดี แต่ก็กำลังเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุล การขาดการประสานงาน และการพัฒนาที่ไม่ต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มขาลงของเศรษฐกิจโลกอันเนื่องมาจากวิกฤติหนี้สินยุโรป
นอกจากนี้ นายหลี่กล่าวเสริมว่า การปฏิรูปและการเปิดตลาดถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปเศรษฐกิจ และเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมการค้าแบบสมดุล เปิดช่องทางการลงทุนใหม่ๆ แก่ต่างชาติ และสร้างบรรยากาศการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับธุรกิจทุกราย
ในส่วนของตลาดภายในประเทศนั้น นายหลี่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปในอีกหลายเรื่อง เช่น ภาษี ภาคการเงิน ราคา และ การกระจายรายได้ เพื่อให้ตลาดมีบทบาทมากขึ้นในการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน