นายแมตทิว ล็อบเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอสเอชบีซี(ประเทศไทย)คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 55 จะขยายตัว 5.5% และมองใน 5 ปีข้างหน้าจะมีการขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5% หลังจากไทยประสบสถานการณ์น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการผลิตและการส่งออก และสถานการณ์ได้ปรับตัวดีขึ้นแล้ว คาดว่าภาคการผลิตและส่งออกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลัง
ปัจจัยที่ยังเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ คือปัญหาหนี้สินในยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐชะลอตัว ในขณะที่ปัจจัยในประเทศ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องหาแนวทางป้องกันปัญหาน้ำท่วม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเห็นว่าแนวทางและมาตรกดารที่รัฐบาลประกาศออกมา ถือว่าได้เดินมาถูกทางแล้ว เช่น การจัดตั้งกองทุนประกันภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นต้น
นายล็อบเบอร์ กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารขายสินเชื่อรายย่อยให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) เป็นไปตามนโยบายของธนาคารเอสเอชบีซี ที่ต้องการให้ธนาคารหันมาปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะเน้นการสร้างผลตอบแทนจากกลุ่มลูกค้าองค์กรและกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารได้มีการออกพันธบัตรให้กับลูกค้ารายใหญ่ และจะเห็นดีลการออกพันธบัตรให้ลูกค้ามากขึ้น
"หลังการขายธุรกิจรายย่อยยืนยันว่าธนาคารจะไม่ถอนตัวออกจากตลาดในประเทศไทย เพราะเราอยู่มา 120 ปี เราพร้อมที่จะสนับสนุนลูกค้าทั้งธูรกิจต่างประเทศ หรือ ธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนต่างประเทศ ...การขายพอร์ตรายย่อยให้ BAY ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกันให้กระบวนการขายแล้วเสร็จ ขณะเดียวกันไม่มีแผนเข้าซื้อหุ้นใน Local Bank แต่จะเน้นลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HSBC กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มธนาคารเอชเอสบีซี มองการเติบโตทางการค้าของไทยในปี 55-69 จะเพิ่มขึ้นสูงถึง 160 % และการเติบโตการค้าของไทยจะสูงกว่าการเติบโตของการค้าโลกถึง 20%ในปี 59 และ 60%ในปี 69 และประเทศไทยจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 23 ของโลกในอีก 40 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ธนาคารจึงมองว่าประเทศไทยยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ รวมไปถึงตลาดภูมิภาคอาเซียน หลังการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในส่วนธนาคารเอชเอสบีซี จะเน้นการเชื่อโยงเครือข่ายให้มั่นคง พร้อมสนับสนุนลูกค้าไปลงทุนในต่างประเทศ หรือบริษัทต่างชาติที่จะเช้าลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน