นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลงอีกเล็กน้อย เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายในต่างประเทศได้ดีขึ้น รวมถึงเป็นกำลังใจในการทำงาน
ส่วนแนวทางในการทำให้เงินบาทอ่อนค่า นายกิตติรัตน์ เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสามารถดูแลได้อยู่แล้ว
"แบงก์ชาติรู้อยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร ก็หัดขาดดุลให้เป็น"นายกิตติรัตน์ กล่าว
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนการควบรวมกิจการ โดยจะทำหน้าที่ดูแลภาษีที่เกี่ยวข้องไม่ให้เป็นอุปสรรค โดยขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และจะหารือกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง คาดว่าน่าจะมีความคืบหน้าภายใน 2-3 เดือน
ทั้งนี้ แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ
"การควบรวมกิจการไม่ใช่แต่บริษัทใหญ่ บริษัทเล็กหากรวมกันก็ใหญ่ขึ้น เพราะจะประหยัดต้นทุน...อะไรเร่งด่วนแต่ขาดความรอบคอบก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ซึ่งช่วง 2-3 เดือนนี้น่าจะเห็นความคืบหน้า"รองนายกฯและ รมว.คลัง กล่าว
อย่างไรก็ตาม อาจจะไม่เห็นการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ของไทย เนื่องจากปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทยมีจำนวนไม่มาก แต่อาจจะเป็นการควบรวมกิจการของธุรกิจอื่นๆ
รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวถึงเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องรีบพิจารณา แม้ภาษีดังกล่าวจะมีข้อดี แต่ยังมีข้อกังวลว่าอาจจะเกิดผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย หากไม่พิจารณาความสามารถด้านรายได้ จะทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยและมีทรัพย์สินจะต้องมีภาระค่าใช้จ่าย ต้องมาเสียภาษี
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะโต้เถียงในประเด็นดังกล่าว รัฐบาลมีหน้าที่ทำงานก็ต้องทำงานต่อไป
"เป็นการเข้าใจผิดว่าจะเป็นการเก็บภาษีจากคนรวย แต่ในที่สุดข้อเท็จจริงก็จะเรียนให้ทราบว่าผู้ที่มีรายได้น้อย มีทรัพย์สินอยู่น้อยก็ต้องเสียภาษี ซึ่งเรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ"นายกิตติรัตน์ กล่าว