ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี(TMB Analytics) ธนาคารทหารไทย มองว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เป็นนโยบายของรัฐบาลในการพยายามเพิ่มอำนาจการซื้อให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อำนาจการซื้อถดถอยมาเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 10 ปี
แต่อย่างไรก็ดี ในด้านผลกระทบต่อผู้ประกอบการจากต้นทุนค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นภาระแตกต่างกันไปตามโครงสร้างแรงงานของแต่ละอุตสาหกรรม อีกทั้งแต่ละอุตสาหกรรมมีความสามารถที่จะส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น สิ่งทอ, อัญมณี เครื่องประดับ ที่ใช้แรงงานเป็นสัดส่วนที่สูง แต่ผลักภาระด้วยการขึ้นราคาได้ยากจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงต่ำกว่ามาก โดยกำไรที่เคยทำได้ก็จะหดลงถึงกว่า 20%
ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นที่ใช้แรงงานเป็นสัดส่วนน้อยกว่า และมีหนทางที่จะส่งผ่านต้นทุนด้วยการเพิ่มราคาขายได้มากกว่าอย่าง อาหาร กำไรก็จะถูกกระทบน้อยกว่าคือราว 13-16%
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี มองว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีต้นทุนแรงงานเฉลี่ยประมาณ 16% ของต้นทุนการผลิต จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงทำให้การผลักภาระหรือส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับราคาขายของ SMEs ให้สูงขึ้นนั้นทำได้ไม่ง่าย ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนแรงงานเฉลี่ยต่ำกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 13% ก็มีอำนาจต่อรองในด้านราคากับผู้บริโภคมากกว่าด้วย
ดังนั้นแน่นอนว่าภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งตกมายังผู้บริโภค ซึ่งจากการศึกษาของ TMB Analytics พบว่า โดยถัวเฉลี่ยแล้ว ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 100 บาท ผู้ประกอบการจะแบกรับภาระต้นทุนไว้ 80 บาท อีก 20 บาท ก็จะกลายเป็นภาระของผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายค่าสินค้าและบริการแพงขึ้นกว่าเดิม
แต่การปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้อัตราส่วนนี้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาอาหารซึ่งเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นในการปรับราคาค่อนข้างมาก ทั้งนี้ใน 2 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.พ.55) ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.4% ถ้าเป็นเฉพาะอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นถึง 9.2% มากกว่าดัชนีราคาสินค้าโดยรวมที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.4% ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นนี้อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อหมวดอาหารเพิ่มขึ้นอีก 4% จากระดับปัจจุบันสู่ 11-13% ในปีนี้
แม้ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานไทยจะมีรายได้ที่ปรับขึ้นไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกลไกหนึ่งในการเพิ่มกำลังซื้อให้คนกลุ่มนี้ได้รวดเร็วที่สุด แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเร่งตัวภายในระยะเวลาอันสั้นอาจทำให้ค่าครองชีพของประชาชนดีดขึ้นไปกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีเวลาในการปรับตัว จึงเลือกการส่งผ่านต้นทุนให้ผู้บริโภคมากที่สุดเป็นทางออก สุดท้ายผลกระทบทางลบจะตกกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านอาหารจะมีสัดส่วนต่อรายได้ที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ อีกทั้งยังมีงานศึกษาของ TDRI ที่ชี้ถึงการนำไปสู่การพยายามลดแรงงานในบางอุตสาหกรรมเพื่อประหยัดต้นทุน และกลุ่มแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบนี้ก็คือกลุ่มเดียวกันกับที่นโยบายตั้งใจจะช่วย
อนึ่ง การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย.นั้น โดยในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ ภูเก็ต จะปรับเพิ่มเป็น 300 บาท (จากเดิมที่ 215 บาท ของ 6 จังหวัด และ 221 บาทสำหรับภูเก็ต) ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะมีอัตราลดหลั่นกันลงไปตามฐานอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แตกต่างกัน แต่ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงประมาณ 40% ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี 4 เดือนจากการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งล่าสุดเมื่อต้นปีที่แล้ว