สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส หรือ Insee เผยยอดขาดดุลงบประมาณของฝรั่งเศสหดตัวลงสู่ 5.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2554 หรือคิดเป็นมูลค่า 2.2 หมื่นล้านยูโร (2.936 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งลดลงจากระดับ 7.1% ในปี 2553 และอยู่ในระดับต่ำว่าระดับเป้าหมายที่ 5.7%
ประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โกซีย์ ของฝรั่งเศสซึ่งกำลังหาทางรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ขานรับการรายงานข้อมูลดังกล่าว โดยระบุว่า เขากำลังทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะลดยอดขาดดุลภายในปี 2559 ให้อยู่ที่ระดับ 0% แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเขาจะลดยอดขาดดุลให้เหลือ 3% ของจีดีพีในปี 2556
"ในปี 2554 ฝรั่งเศสให้คำมั่นไว้ว่าจะลดยอดขาดดุลลงสู่ 5.7% แต่เราสามารถทำได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก" นายซาร์โกซีย์กล่าว
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ภายหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้รับทบทวนคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณของปีนี้ลงมาอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี ลดลงจากระดับ 4.5% ในการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ยอดขาดดุลและยอดหนี้สินโดยรวมของฝรั่งเศสยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของสหภาพยุโรป (อียู) ขณะที่การใช้จ่ายชะลอตัวลงในปีที่แล้ว ส่วนผลตอบแทนภาษีเพิ่มขึ้นแตะ 43.8% ของจีดีพี จากระดับ 42.5% ในปี 2553
สำหรับยอดหนี้สินของฝรั่งเศสปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2554 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 86% ของจีดีพี ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของอียูที่ 60%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฝรั่งเศสตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในการปฏิบัติตามมาตรฐานของยุโรปด้านการควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณ ซึ่งทำให้รัฐบาลเสนอมาตรการรัดเข็มขัดหลายด้าน อาทิ การเร่งปฏิรูปเงินบำนาญ การขึ้นภาษี และปิดช่องโหว่ด้านภาษีโดยหวังที่จะทำให้ประเทศมีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านยูโร
อย่างไรก็ตาม นายซาร์โกซีย์ให้คำมั่นในการหาเสียงเลือกตั้งว่าจะกระตุ้นการจ้างงานอย่างเต็มที่และส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจหากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกหนึ่งสมัย หลังจากที่ถูกตำหนิในประเด็นทางเศรษฐกิจที่ร่วงลงสู่ภาวะถดถอยและมีอัตราว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ สถานการคลังของประเทศได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 22 เมษายนนี้