ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินอื่น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสดใส

ข่าวต่างประเทศ Saturday March 31, 2012 07:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องเศรษฐกิจ จึงลดการถือครองเงินดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง

เงินยูโรแข็งค่า 0.26% เทียบดอลลาร์ ที่ระดับ 1.3336 ดอลลาร์/ยูโร จาก 1.3301 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวันพฤหัสบดี ขณะที่เงินปอนด์ก็แข็งค่า 0.26% เทียบเงินดอลลาร์ ที่ 1.5994 ดอลลาร์/ปอนด์ จาก 1.5952 ดอลลาร์/ปอนด์

เงินดอลลาร์อ่อนค่า 0.40% เทียบฟรังค์สวิส ที่ 0.9024 ฟรังค์/ดอลลาร์ จาก 0.9060 ฟรังค์/ดอลลาร์ แต่แข็งค่า 0.46% เทียบเยน แตะ 82.780 เยน/ดอลลาร์ จาก 82.400 เยน/ดอลลาร์

เงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่า 0.11% เทียบดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0356 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จาก 1.0367 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่า 0.18% เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ แตะ 0.8186 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จาก 0.8171 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. โดยการใช้จ่ายผู้บริโภคนับว่ามีความสำคัญ เพราะมีสัดส่วนถึง 70% หรือ 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ

ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐก็พุ่งสูงเกินคาดในเดือนมี.ค. และทำสถิติขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากชาวอเมริกันมีมุมมองในแง่บวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 76.2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2554 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 74.3 ในช่วงต้นเดือนมี.ค. และจากระดับ 75.3 ในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 74.7

อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบเงินยูโรคือ การที่รัฐมนตรีคลังของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ซึ่งอยู่ในระหว่างประชุมร่วมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เห็นชอบให้มีการเพิ่มขนาดของกองทุนช่วยเหลือภูมิภาคจาก 5 แสนล้านยูโร เป็น 8 แสนล้านยูโร (1.1 ล้านล้านดอลลาร์) ประกอบไปด้วยเงินจำนวน 5 แสนล้านยูโรในกองทุน ESM ซึ่งเป็นกองทุนถาวร และอีกส่วนหนึ่งคือเงินกู้ที่ได้มีการอนุมัติให้กับกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส แล้วประมาณ 3 แสนล้านยูโรภายใต้กองทุน EFSF ซึ่งเป็นกองทุนชั่วคราว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ