ธปท.เปิดรายงานประชุมกนง.นโยบายการเงินผ่อนคลายยังจำเป็นเพื่อรักษาแรงส่งศก.อีกระยะ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 4, 2012 09:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 2/55 วันที่ 21 มี.ค.55 โดยที่ประชุมได้พิจารณาภาวะตลาดการเงิน พบว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับดีขึ้น หลังจากกรีซบรรลุข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะครั้งสาคัญและธนาคารกลางยุโรปออกมาตรการเสริมสภาพคล่องระยะยาว ความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศในภูมิภาค ทั้งตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตร และค่าเงินภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับแข็งค่าขึ้น รวมถึงค่าเงินบาท

อย่างไรก็ดี กรรมการบางส่วนมีความเห็นว่า แม้ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปบรรเทาลง แต่ยังไม่ได้แก้ไขที่โครงสร้างเศรษฐกิจซึ่งเป็นสาเหตุพื้นฐาน จึงยังมีโอกาสที่ปัญหาจะปะทุขึ้นอีกในระยะข้างหน้า และเป็นปัจจัยเสี่ยงสาคัญต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงกังวลกับปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากกรีซ เช่น สเปน และโปรตุเกส ในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าตามความเชื่อมั่นของนักลงทุน และธุรกรรมของบริษัทประกันภัยหลังเหตุการณ์น้าท่วม

ในประเด็นนี้ คณะกรรมการฯ มีข้อสังเกตว่า ภาคธุรกิจไทยสามารถปรับตัวกับความผันผวนของค่าเงินบาทได้ดีขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นทรงตัวอยู่ที่ระดับใกล้เคียงร้อยละ 3 ต่อปี สะท้อนการคาดการณ์ของตลาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ สาหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะปานกลางและยาวปรับสูงขึ้น ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มอุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยที่เพิ่มขึ้นตามแผนการกู้เงินเพื่อใช้ในการฟื้นฟูผลกระทบจากน้ำท่วม

แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่เร่งตัว เนื่องจากปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลาง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแรงกดดันจะไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปี 2551 เพราะคาดว่าปัญหาในตะวันออกกลางจะไม่ขยายวงเป็นสงครามรุนแรง และโดยปกติราคาน้ามันที่ปรับสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานจะอยู่ในระดับสูงไม่นาน ซึ่งต่างจากกรณีที่เป็นผลจากด้านอุปสงค์

เศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณบวกมากขึ้นและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้ธนาคารกลางของประเทศส่วนใหญ่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน เว้นแต่มีเหตุผลเฉพาะ เช่น แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงจากปัจจัยในประเทศ จึงลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดังเช่นกรณีของฟิลิปปินส์

สำหรับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวต่อเนื่องและชัดเจนมากขึ้น โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ การจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่อาจมีความล่าช้าจากกระบวนการประเมินที่ต้องใช้เวลาและจำนวนผู้สำรวจไม่เพียงพอ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ เนื่องจากบริษัทที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มีทุนของตนเองหรือเงินสนับสนุนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือได้รับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งบางส่วนได้รับค่าสินไหมทดแทนระหว่างกาลที่บริษัทประกันภัยจ่ายเบื้องต้นให้ อย่างไรก็ดี การสั่งซื้อและติดตั้งเครื่องจักรสำหรับบางบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนอาจใช้เวลานาน

ในภาพรวมคณะกรรมการฯ ประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะกลับสู่ระดับปกติได้ภายในไตรมาสที่ 2 ยกเว้นภาคการผลิตที่จะกลับเป็นปกติภายในไตรมาสที่ 3 และจะส่งผลต่อเนื่องให้การส่งออกทยอยฟื้นตัวตามมา ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเอื้อให้การฟื้นตัวมีความต่อเนื่อง โดยรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินในโครงการบริหารจัดการน้ำได้เร็วขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม ส่วนหนึ่งเพราะได้เริ่มอนุมัติโครงการบางส่วนไปแล้วในช่วงต้นเดือนมีนาคม ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในปี 2555 น่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.7 โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังมาจากอุปสงค์ในประเทศ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศจะมีบทบาทมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการผลิตสินค้าส่งออกที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีน้อยลง แรงกดดันและการคาดการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวในระยะสั้น แต่มีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น แรงกดดันจากด้านอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อเศรษฐกิจเติบโตเข้าใกล้ศักยภาพ และผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่าที่จะเริ่มในเดือนเมษายน 2555 แต่การเลื่อนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ามันของรัฐบาลจะช่วยลดทอนผลกระทบของราคาน้ามันโลกต่อเงินเฟ้อในประเทศ

การพิจารณานโยบายการเงินที่เหมาะสม คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงิน 2 ครั้งที่ผ่านมามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดี โดยเห็นแรงส่งที่น่าพอใจในทุกองค์ประกอบ ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกลดลง ทำให้ไม่มีความจาเป็นต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปยังไม่หมดไป เพราะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงในระดับโครงสร้าง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ การฟื้นตัว และแรงกระตุ้นจากภาครัฐบาลในระยะต่อไปอาจมีความล่าช้า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจึงยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยรักษาแรงส่งที่ดีให้กับเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีมากขึ้น จากปัจจัยราคาน้ำมันโลกเป็นหลัก ซึ่งเมื่อประกอบกับ แรงกดดันจากด้านอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโตเข้าใกล้ศักยภาพ อัตราเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แม้โดยรวมยังสอดคล้องกับแนวโน้มที่คณะกรรมการฯ ประเมินไว้และอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แต่ควรเพิ่มความระมัดระวัง นอกจากนี้ กรรมการบางส่วนแสดงความกังวลว่า ในระยะข้างหน้าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นอีก ทั้งจากปัจจัยในประเทศ เช่น การปรับค่าจ้างแรงงานในลักษณะ ก้าวกระโดดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย และปัจจัยนอกประเทศ จากการอัดฉีดสภาพคล่องเป็นจานวนมากของธนาคารกลางในประเทศหลัก ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่คณะกรรมการฯ ให้ความสาคัญและจะติดตามอย่างใกล้ชิด

จากการพิจารณาสมดุลความเสี่ยงทั้งสองด้านข้างต้น คณะกรรมการฯ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเพียงพอต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายใต้ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีอยู่ และสามารถดูแลแรงกดดันเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย จึงมีมติเป็น เอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ