สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่พุ่งสูงขึ้นของสเปนส่งผลให้นักลงทุนลังเลที่จะถือครองสกุลเงินยูโร ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.80% แตะที่ 1.3080 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3185 ดอลลาร์สหรัฐ และอ่อนค่าลง 0.53% เมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ 106.04 จากระดับ 106.61 เยน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.22% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 81.060 เยน จากระดับ 80.880 เยน, พุ่งขึ้น 0.94% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9195 ฟรังค์ จากระดับ 0.9109 ฟรังค์ และดีดขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ 0.9976 จาก 0.9943 ดอลลาร์แคนาดาเมื่อวันพฤหัสบดี
ขณะที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.65% แตะที่ 1.5854 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5958 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียลดลง 0.52 % แตะที่ 1.0381 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0435 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ขยับลง 0.28% แตะที่ 0.8249 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8272 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเทขายเงินยูโรหลังจากมีรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ของสเปนกู้เงินจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มากเป็นประวัติการณ์ในเดือนมี.ค. สะท้อนให้เห็นว่าภาคธนาคารสเปนขาดแคลนสภาพคล่อง ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสเปนพุ่งสูงขึ้นแตะ 5.95% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ด้านรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนเม.ย. ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 75.7 จาก 76.2 ในเดือนมี.ค. เนื่องจากการจ้างงานที่ชะลอตัว ตลอดจนราคาน้ำมันเบนซินที่อยู่ในระดับสูงได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 0.76% แตะ 79.89 เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ในไตรมาสแรกก็ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเสี่ยงเช่นกัน