นางสุชาดา กิระกุล, รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1/55 ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ โดยเฉพาะการอุปโภคบริโภคและการลงทุน แม้จะเป็นผลจากการซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัยเมื่อไตรมาส 4/54 แต่ยังเห็นสัญญาณความต้องการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาครัฐยังมีความล่าช้าของการเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ยังไม่สามารถผ่านญัตติไปได้แต่จะดีขึ้นในระยะต่อไป ส่วนการส่งออกซึ่งชะลอตัวจากผลกระทบภาคการผลิตที่ล่าช้าจากปัญหาน้ำท่วม แต่ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นไปตามที่ธปท.ได้คาดการณ์ไว้
สำหรับปัจจัยด้านการลงทุน ภาครัฐต้องมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ขณะที่ภาคเอกชนต้องพัฒนาศักยภาพการผลิตของตัวเอง โดยเฉพาะหลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นแรงขับส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีให้ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ
"ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในแง่พื้นฐานที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้มันมี จึงถือว่าเอื้อ และช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้แต่เรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมันเกิดขึ้นได้ตลอดเพียงแต่การเมืองต้องไม่สะดุด"นางสุชาดา กล่าว
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า การเมืองเป็นจุดอ่อนสำคัญต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งทำให้นโยบายต่างๆและกฎหมายสำคัญไม่มีความต่อเนื่อง ทั้งยังไม่มีการลงทุนอย่างจริงจังของภาครัฐ ส่งผลให้การลงทุนของไทยต่ำมากเพียง 21% ส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน16% ส่วนรัฐมีการลงทุนเพียง 5% เท่านั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยยังเป็นลักษณะการรับจ้างผลิต
อย่างไรก็ตาม ไทยมีจุดแข็งจากภาคเอกชนที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นตัวนำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลังยังเอื้อที่จะกระตุ้นการขยายตัว
"ถ้าอยากเห็นจีดีพีโต7% เราก็ต้องปรับเครื่องยนต์จะอัดแต่เงินไม่ได้ อยากให้เศรษฐกิจวิ่งเร็วโดยที่เครื่องยนต์ไม่พังก็ต้องมีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนก็จะเกิดขึ้นได้ นักลงทุนต่างประเทศมั่นใจ" นายไพบูลย์ กล่าว
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันการเงินมีการเบิกใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ(soft loan) ช่วยเหลือผู้ประสบกอุทกภัยทั้งบุคคลรายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวน 2,000 ล้านบาทจากวงเงินทั้งสิ้น200,000 ล้านบาท น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระบบงานของธนาคารพาณิชย์อาจติดขัด ประกอบกับมีการทยอยคืนสินเชื่อจากลูกหนี้ในโครงการเป็นรายเดือนตามที่ธปท.กำหนด และธนาคารมีการใช้สภาพคล่องส่วนตัวปล่อยสินเชื่อไปแล้ว แต่ในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.เชื่อว่าความต้องการสินเชื่อในโครงการนี้จะเพิ่มสูงขึ้น