กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านลดลง 5.8% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 654,000 ยูนิต สวนทางกับการคาดการณ์ แต่การอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้น 4.5% แตะระดับ 747,000 ยูนิต ซึ่งสูงสุดนับแต่เดือนก.ย.2551
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สถิติการเริ่มสร้างบ้านจะอยู่ที่ 705,000 ยูนิตในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นจาก 694,000 ยูนิตในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีการปรับทบทวนลงจาก 698,000 ยูนิต และตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างจะอยู่ที่ 710,000 ยูนิตในเดือนมี.ค.
ยอดการเริ่มสร้างบ้านในเดือนมี.ค.นับว่าลดลงมากที่สุดนับแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว
ทางด้านสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย NAHB/Wells Fargo Housing Market ลดลงสู่ระดับ 25 จุด ในเดือน เม.ย.จากระดับ 28 จุดในเดือนมี.ค.
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า แม้เฟดพยายามดำเนินการเพื่อฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง โดยผ่านโครงการซื้อพันธบัตรแล้ว แต่ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐก็ยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิมได้ในขณะนี้ อันเนื่องมาจากปัจจัยลบหลายด้าน
เบอร์นันเก้กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินหลายครั้ง เฟดก็ได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปแล้วถึง 2 ครั้ง โดยผ่านทางโครงการซื้อพันธบัตร ซึ่งมีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลงและหนุนความเชื่อมั่นในตลาด
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ยอมรับว่า แม้เฟดได้ใช้มาตรการ QE ไปแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า ภาวะซบเซาของตลาดที่อยู่อาศัยและการทรุดตัวลงของราคาบ้าน อาจจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นไปอย่างเชื่องช้า