การนำเข้าสินค้าของจีนมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวในอัตราที่เร็วกว่าการส่งออกอันเนื่องมาจากการใช้นโยบายส่งเสริมการนำเข้าของประเทศ
ถึงแม้ว่าการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศจะชะลอตัวลงตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่คาดว่าการขยายตัวของการนำเข้าจะกลับมาดีดตัวขึ้นในช่วงหลังของปีนี้
ข้อมูลสถิติของสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า การค้ากับต่างประเทศของจีนขยายตัวเพียง 7.3% ต่อปีในไตรมาสแรก ซึ่งต่ำกว่าการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ 8.1% และยังเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2552
ทั้งนี้ การนำเข้าขยายตัวลดลงแตะ 6.9% ซึ่งต่ำกว่าการขยายตัวของการส่งออกที่ 7.6% ซึ่งกระตุ้นความวิตกกังวลของตลาดเกี่ยวกับการชะลอตัวลงของอุปสงค์ภายในประเทศ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การใช้มาตการส่งเสริมการนำเข้าจะช่วยผลักดันการขยายตัวของการนำเข้าในอนาคตอันใกล้นี้ โดยคณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า กำลังพิจารณาออกนโยบายเพื่อกระตุ้นการนำเข้าและส่งเสริมดุลการค้าของประเทศ รวมทั้งระบุว่า จีนจะให้ความสนใจมากขึ้นกับการเพิ่มปริมาณการนำเข้า ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพของประชาชนและช่วยลดการกระทบกระทั่งกับประเทศคู่ค้า
แถลงการณ์ของคณะรัฐมนตรีระบุว่า จะมีการปรับอัตราภาษีนำเข้าและมาตรการต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกในการระดมทุนและพิธีการศุลกากรสำหรับบริษัทนำเข้า
ในระหว่างการจัดงานแคนตันแฟร์ครั้งที่ 111 ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ บริษัทบางแห่งซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบได้แสดงมุมมองว่า มาตรการส่งเสริมการนำเข้าจะช่วยบริษัทลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก
บริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์รายหนึ่งระบุว่า หากภาษีนำเข้าวัตถุดิบลดลงแม้เพียง 1% ต้นทุนของผู้นำเข้าก็จะลดลงอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมเคมีต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้านหยวน
นายจาง หยานเซิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศในสังกัดคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนคาดว่า จีนจะยังคงมียอดเกินดุลการค้าในปีนี้ แต่ตัวเลขอาจลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์
บทวิเคราะห์โดยสำนักข่าวซินหัว