ผู้เชี่ยวชาญกล่าวในการประชุมประจำฤดูใบไม้ผลิของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เมื่อวันเสาร์ว่า การปรับปรุงด้านการคลังและแนวโน้มการขยายตัวในเชิงบวกมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟกล่าวว่า หนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นสาเหตุให้เกิดความวิตกทั่วโลก ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสูงเกินกว่า 100% ในปี 2554 เมื่อเทียบกับ 75% ในปี 2550
ในการสัมมนาว่าด้วยหนี้สาธารณะและเสถียรภาพทางการเงิน นายออกุสติน คาร์สเทน ผู้ว่าการธนาคารกลางเม็กซิโกกล่าวว่า “เป็นเรื่องสำคัญในการใช้มาตรการที่น่าเชื่อถือและครอบคลุมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านบัญชีทางการคลัง ในการเพิ่มทุนแก่สถาบันการเงินที่ประสบปัญหา และในการฟื้นฟูฐานะการเงินของภาคเอกชน"
บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายเผชิญกับภารกิจที่ท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความจำเป็นต่างๆในการหนุนความเชื่อมั่นของตลาดและการช่วยกู้เศรษฐกิจ
ประการแรก พวกเขาต้องยึดมั่นในการเสริมความแข็งแกร่งทางการคลังเป็นหน้าที่ในระยะกลาง และแนวทางในการเพิ่มความเป็นไปได้เกี่ยวกับการขยายตัวอย่างยั่งยืน
ประการที่สอง ต้องดำเนินความพยายามมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายที่เอื้อต่อการขยายตัว ท่ามกลางความเสี่ยงช่วงขาลงทางเศรษฐกิจ
ส่วนประการที่ 3 พวกเขาต้องรักษระดับการใช้จ่ายสาธารณะผ่านทางการพัฒนาในวงกว้าง เช่น การดำเนินแผนการด้านสวัสดิการสังคม
“ดังนั้น นโยบายการคลังจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนในด้านวัตถุประสงค์และขอบเขต" นายธาร์มาน ชานมูการัตนัม รมว.คลังสิงคโปร์และประธานคณะกรรมการการเงิน (IMFC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำหนดนโยบายของไอเอ็มเอฟ กล่าว
“ภารกิจสำคัญที่สุดต้องอยู่ที่การทำให้พลวัตทางสังคมมีความยั่งยืนโดยการปรับปรุงขอบเขตและคุณภาพด้านโอกาสสำหรับคนรุ่นหนุ่มสาว และช่วยเหลือแรงงงานในการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญที่ยังคงทำให้พวกเขาเป็นที่ต้องการในตลาดโลก"