นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต(MPA) คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจของประเทศจีนในไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะมีอัตราการเติบโตลดลงเหลือ 8.1% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี แต่ยังเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งถือว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนมีความแข็งแกร่ง จากการค้า การลงทุน และการบริโภคในประเทศ โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ดังนั้นภาครัฐและภาคเอกชนของไทยจึงต้องเพิ่มบทบาทการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศจีนให้มากขึ้น
สำหรับการเดินทางเยือนประเทศจีนของนายกรัฐมนตรีของไทย ถือเป็นการสานสัมพันธ์การค้าการลงทุนที่สำคัญ เพราะทุกวันนี้ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก เพื่อประคับประคองการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยมองว่าหากไทยสามารถขยายการส่งออกไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นหรือสามารถชักชวนดึงนักลงทุนชาวจีนให้เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมในปีนี้ที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ถึง 5-6%
"เรายังจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก ซึ่งจีนเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพมากที่สุด ในยามที่เศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปยังมีปัญหา ไทยเองมีสานสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศจีน จึงควรใช้โอกาสนี้ในการเปิดประตูการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้" นายมนตรี กล่าว
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า คาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ของปีนี้จะมีการอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น หลังจากภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา ได้กลับมาเริ่มเดินเครื่องผลิตเกือบครบ 100% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาสำหรับเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 ก็คือ ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่รัฐบาลดำเนินนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะส่งผลต่อเงินเฟ้อจากต้นทุนสินค้าและเงินเฟ้อจากกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลภาวะเงินเฟ้อ ต้องเกาะติดสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด โดยต้องควบคุมให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสมต่อการค้าการลงทุนเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้อย่างเข้มแข็งต่อไป