สกุลเงินดอลลาร์ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐสามารถขยายตัวติดต่อกัน 5 เดือนในเดือนเม.ย. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.43% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 80.120 เยน จากระดับ 79.780 เยน และขยับขึ้น 0.06% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9076 ฟรังค์ จากระดับ 0.9071 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.05% แตะที่ 1.3234 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3240 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.09% แตะที่ 1.6217 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6231 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.92% แตะที่ 1.0327 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0423 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.34% แตะที่ 0.8147 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8175 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นทันที หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 54.8 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 53.4 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 53 จุด
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงหลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% แตะที่ 3.75% ในการประชุมวันนี้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1.6% ซึ่งลดลงจากเดือนมี.ค.ปีที่แล้วที่ระดับ 3.1%
นายเกลน สตีเฟน ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวภายหลังการประชุมว่า "การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% ในวันนี้ ถือเป็นสิ่งจำเป็น และมีเป้าหมายที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ธนาคารกลางคาดว่า ในอีก 1 หรือ 2 ปีข้างหน้า ตัวเลขเงินเฟ้อของออสเตรเลียจะปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจจะอยู่ในกรอบการคาดการณ์ของธนาคารกลางที่ 2-3%"
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคทั้งในฝั่งยุโรปและสหรัฐในวันนี้ โดยอิตาลี, ฝรั่งเศส เยอรมนี และอียูจะเปิดเผย ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนเม.ย. ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนเม.ย. และยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนมี.ค.