นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮ่วยชวนค้าข้าว จำกัด กล่าวว่า นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องทำ แต่อาจจะมีวิธีการแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้หรือการรับจำนำ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการตั้งราคาจะต้องสมเหตุสมผล เพราะหากตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาดมาก เพื่อหวังจะยกระดับและช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวในประเทศนั้นอาจเกิดผลเสียได้ หากประเทศอื่นๆที่เป็นคู่แข่งของไทยไม่มีปัญหาด้านซัพพลายและยังสามารถขายข้าวในราคาปกติได้ ซึ่งจะทำให้ข้าวไทยไม่สามารถสู้ราคากับประเทศคู่แข่ง ดังจะเห็นได้จากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้การส่งออกข้าวของไทยลดลงทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่า
"เราพยายามจะบอกว่า เรื่องนี้มันมีผลกระทบมากและสุดท้ายก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล เวลาที่ขายข้าวไม่ได้... ตอนนี้ทั้งฮ่องกงและสิงคโปร์ หันไปนำเข้าข้าวหอมจากเวียดนามและกัมพูชาแทน เพราะมีราคาต่ำกว่าข้าวไทย" นายชูเกียรติกล่าวในงานสัมมนาเรื่อการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ของธุรกิจเกษตรและอาหาร
สำหรับทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาด้วยการยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือการดำเนินธุรกิจโดยใช้หลักจริยธรรม ด้วยการยืนยันที่จะส่งมอบข้าวคุณภาพดีให้กับลูกค้า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดแทนการหวังแต่เพียงผลกำไร ขณะเดียวกันจะสร้างภูมิคุ้มกันความเสี่ยงด้วยการออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากต้นทุนการผลิตในประเทศมีแนวโน้มจะลดลงยาก ดังนั้นจะต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม
"ถ้ายังอยากอยู่รรอดในวงการข้าว เราต้องหาแหล่งใหม่มาเสริมธุรกิจ อนาคตข้าวไทยจะเหนื่อย เพราะฉะนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นสิ่งจำเป็น" นายชูเกียรติ กล่าว
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ที่ปรึกษาอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ มองว่าการดำเนินธุรกิจด้านปศุสัตว์ในระยะอีก 5 ปีข้างหน้าจะต้องเตรียมพร้อมให้เป็นระบบห่วงโซ่การลิตที่เชื่อมโยงกันยิ่งขึ้น เนื่องจากในอนาคตความต้องการของผู้บริโภคจะยิ่งมีความหลากหลายและละเอียดอ่อนมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มนี้ จำเป็นต้องเตรียมความรู้ความเข้าใจในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางให้มีความเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อาหาร โรงงานผลิต ฟาร์ม โรงงานอาหารสัตว์ รวมไปจนถึงการปลูกพืชเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการเลี้ยงสัตว์ที่นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร