สกุลเงินยูโรร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) หลังจากมีรายงานว่ากรีซประสบความล้มเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทำให้กรีซต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในเดือนหน้า ข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายสกุลเงินยูโรและหันไปถือครองสกุลเงินที่ปลอดภัยกว่า
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.72% แตะที่ 1.2733 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2825 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลง 0.57% แตะที่ 1.5999 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6091 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.48% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 80.240 เยน จากระดับ 79.860 เยน และพุ่งขึ้น 0.70% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9428 ฟรังค์ จากระดับ 0.9362 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.27% แตะที่ 0.9932 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9959 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.09% แตะที่ระดับ 0.7684 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7769 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรร่วงลงหลังจากกรีซประสบความล้มเหลวในการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้กรีซเตรียมจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของกรีซมีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดภาวะผันผวนทางการเมืองต่อไปอีก นอกจากนี้ โพลล์หลายสำนักชี้ว่า พรรค Syriza ซึ่งต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
ยูโรได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของยูโรโซนในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวที่ระดับ 0% เมื่อเทียบทั้งรายไตรมาสและรายปี หรือหมายความว่าเศรษฐกิจไม่มีการขยายตัวในช่วงดังกล่าว ขณะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) ในไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัว 0% เช่นกันเมื่อเทียบรายไตรมาส
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติกรีซเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของกรีซในไตรมาสแรกปีนี้ ปรับตัวลง 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กรีซต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ฝ่าฟันวิกฤตหนี้ และเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงคงสถานะอยู่ในกลุ่มยูโรโซน
ภาวะสุญญากาศทางการเมืองของกรีซได้สร้างความวิตกกังวลว่าอาจจะทำให้วิกฤตหนี้ยุโรปลุกลาม และยังบดบังรายงานที่ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวอย่างเหนือความคาดหมายที่ 0.5% และดีกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่หดตัวลง 0.2% เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่ขยายตัวแข็งแกร่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย.อยู่ในระดับที่ทรงตัว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานปรับขึ้น 0.2% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันกับเดือนมี.ค. หากเทียบรายปี ดัชนี CPI เดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 2.3% ซึ่งลดลงจากระดับ 2.7% ในเดือนมี.ค.
สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย. , ข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนเม.ย.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์