กระทรวงการคลังเปิดเผยในวันนี้ว่าญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 5.2027 แสนล้านเยนในเดือนเม.ย. โดยขาดดุลเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากการขยายตัวของการนำเข้าแซงหน้าการส่งออก
ยอดขาดดุลดังกล่าวนับว่ามากที่สุดสำหรับเดือนเม.ย.นับแต่ที่รัฐบาลได้เริ่มรวบรวมข้อมูลในปี 2522 และยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าต่อเนื่องของเยนในตลาดสกุลเงิน
รายงานเบื้องต้นระบุว่า มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 5.5665 ล้านล้านเยน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน จากการส่งออกสินค้าที่สดใส เช่น รถยนต์ ไปยังสหรัฐและตะวันออกกลาง
ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 8.0% แตะ 6.0868 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการขยายตัวรายเดือนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 28 ติดต่อกัน จากราคาน้ำมันดิบและพลังงานอื่นๆที่สูงขึ้นในช่วงเวลาที่สาธารณูปโภคของประเทศได้หันมาพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหลวมากขึ้นในการเพิ่มการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อชดเชยกับการยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ อันเนื่องมาจากความวิตกด้านความปลอดภัยหลังวิกฤตนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ไดอิชิ
ทั้งนี้ การส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้น 42.9% แตะ 9.589 แสนล้านเยน ซึ่งฟื้นตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน โดยการส่งออกรถยนต์ขยายตัวกว่า 4 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุน ลดลง 7.1% สู่ระดับ 9.954 แสนล้านเยน โดยลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน