บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยวานนี้ว่า รายได้สุทธิของธนาคารสหรัฐในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุด นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ในปี 2550
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันออมเงินหลายแห่งที่อยู่ในความคุ้มครองของ FDIC มีรายได้ทั้งสิ้น 3.53 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 นับเป็นการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 11 นับตั้งแต่ธนาคารในสหรัฐมีรายได้สุทธิรายไตรมาสดีขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มากกว่า 2 ใน 3 ของสถาบันทั้งหมดรายงานถึงรายรับสุทธิรายไตรมาสที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว
"ธนาคารที่อยู่ในความคุ้มครองมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านการลดหนี้เสีย การเพิ่มมูลค่าสุทธิ และการเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร" นายมาร์ติน กรุนเบิร์ก รักษาการประธาน FDIC กล่าว
รายได้เชิงบวกในไตรมาสแรกมีขึ้น ภายหลังภาคธนาคารมีรายได้อย่างมากถึง 1.195 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นรายได้รายปีสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2549 นั่นบ่งชี้ว่าธนาคารหลายแห่งพ้นจากวิกฤตการเงินปี 2551 แล้ว
ขณะเดียวกัน FDIC ยังระบุว่า จำนวนธนาคารที่ประสบปัญหาลดลงจาก 813 แห่งเหลือ 772 แห่งในไตรมาสแรก หรือราว 9.5% ของจำนวนธนาคารทั้งหมดที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาลกลาง นับเป็นจำนวนน้อยที่สุดของธนาคารที่ประสบปัญหานับตั้งแต่เมื่อช่วงสิ้นปี 2552
"แต่เราควรระมัดระวังในการสรุปจากเพียงไตรมาสเดียว" นายกรุนเบิร์กกล่าว
ในปีนี้มีธนาคารสหรัฐที่ล้มละลาย 24 แห่งจนถึงขณะนี้ สำหรับตลอดทั้งปี 2554 มีธนาคารที่ได้รับการคุ้มครองล้มละลาย 92 แห่ง เมื่อเทียบกับ 157 แห่งในปี 2553
อันที่จริงแล้ว การปรับตัวในทางที่ดีเป็นผลมาจากการการกันสำรองหนี้สูญที่ลดลง ซึ่งลดลงติดกันเป็นไตรมาสที่ 10 โดยเงินจำนวน 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งธนาคารกันสำรองนั้นต่ำกว่าระดับของปีก่อนหน้าอยู่ 31.6% และถือเป็นระดับรายไตรมาสต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสองของปี 2550 สำนักข่าวซินหัวรายงาน