นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า สศค.เตรียมจะเสนอแพ็คเกจมาตรการจูงใจนักลงทุนให้นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเสนอให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การลงทุนของไทยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายใน 5 ปี และยังเป็นการส่งเสริมเงินทุนไหลเข้าด้วย จากปัจจุบันประเทศไทยมีการลงทุนในต่างประเทศน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
"ยืนยันว่าไม่ใช่เอาเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนต่างประเทศ แต่เป็นการหาทางเอาเงินสภาพคล่องในประเทศที่มีจำนวนมากไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นบวกจำนวนมาก สะท้อนว่ามีเงินออมในประเทศมากกว่าการลงทุน ซึ่งการมีเงินออมมากเกินไปก็ไม่ดี" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้มาตรการดังกล่าว สศค.ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชนมาแล้วกว่า 25 ครั้ง ก่อนจะมีข้อสรุปเพื่อนำเสนอต่อ รมว.คลัง โดยคาดว่าจะมีการจัด Symposium ในเรื่องดังกล่าวราวเดือนส.ค. หรือก.ย.นี้
ผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า ในเดือนมิ.ย.55 สศค.เตรียมปรับเพิ่มประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 55 ใหม่ จากปัจจุบันที่คาดว่าจะเติบโต 5.5% หลังจากปัจจัยต่างๆ มีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนพ.ย.54 ขณะที่คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเห็นผลมากขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มต้นการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 55
ขณะที่ภาคการผลิตได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะภาคการผลิตรถยนต์ แต่ยอมรับว่ายังต้องติดตามอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังเพิ่งเริ่มการผลิต เนื่องจากไทยเป็นประเทศส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อันดับต้นๆ ของโลก จึงจำเป็นต้องผลักดันภาคการผลิตในอุตสาหกรรมดังกล่าวต่อไป
สำหรับเศรษฐกิจต่างประเทศนั้นยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดโดยเฉพาะปัญหาหนี้สินในยุโรป ซึ่ง สศค.ประเมินว่าเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้จะหดตัว 0.9% แต่ยังมั่นใจว่า ไทยมีฉนวนป้องกันความเสี่ยงจากปัญหายุโรป ทั้งในแง่ผลกระทบจากการส่งออก ที่ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการส่งออกในยุโรปไม่มาก ขณะที่ภาคการเงินมีการถือครองพันธบัตรหรือตราสารหนี้ของยุโรปไม่มากเช่นกัน ดังนั้นหากประเมินว่าสถานการณ์เลวร้ายสุด ไม่ว่ากรีซจะถูกผลักออกจากยูโรโซนหรือไม่ก็จะยังทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% จากคาดการณ์เดิมที่ 5.5% พร้อมประเมินว่าภาคการส่งออกของไทยยังมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่าปีนี้จะโต 13-14% จากที่กระทรวงพาณิชย์จะตั้งเป้าไว้ที่ 15%