จีนกำลังเผชิญกับสถานการณ์การส่งออกที่เข้าขั้นวิกฤติ โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการจากต่างประเทศที่ซบเซา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะว่า จีนจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวและช่วยให้ภาคการส่งออกของประเทศพ้นจากภาวะยากลำบากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในงานแคนตันแฟร์ ครั้งที่ 111 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศงานใหญ่ระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นปีละสองครั้งในประเทศจีน และเพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่าการทำธุรกรรมสำหรับการส่งออกลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2552
นายหลิว เจียนจุน โฆษกงานแคนตันแฟร์กล่าวว่า มูลค่าการทำข้อตกลงเพื่อการส่งออกลดลง 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 3.603 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับงานที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
สำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา การค้ากับต่างประเทศของจีนปรับตัวขึ้น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่ามากจากเป้าหมายตลอดทั้งปีของจีนที่ 10% คิดเป็นมูลค่า 3.0808 แสนล้านดอลลาร์ โดยมียอดเกินดุลการค้า 1.842 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับการส่งออกและการนำเข้าของจีนขยายตัวช้าลงในเดือนเม.ย. เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากความต้องการที่ซบเซาทั้งภายในและต่างประเทศ
มูลค่าการส่งออกในเดือนเม.ย. อยู่ที่ 1.6325 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ลดลง 5% จากเดือนมี.ค.
ความต้องการจากต่างประเทศที่ซบเซาถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขยายตัวของการส่งออกจีนชะลอลง ประกอบกับต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้โอกาสในส่งออกของจีนพบกับอุปสรรค
เพื่อรับมือกับปัจจัยลบดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญจึงให้คำแนะนำว่ารัฐบาลควรเพิ่มการสนับสนุนทางการคลังและด้านภาษีให้กับผู้ประกอบการส่งออก สำนักข่าวซินหัวรายงาน