สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารของสเปน และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่ซบเซา และตัวเลขจีดีพีที่ขยายตัวช้าลงในไตรมาสแรกปีนี้
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.11% แตะที่ 1.2357 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2370 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ร่วงลง 0.52% แตะที่ 1.5400 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5480 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.91% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 78.370 เยน จากระดับ 79.090 เยน และดีดตัวขึ้น 0.11% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9718 ฟรังค์ จากระดับ 0.9707 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.23% แตะที่ 0.9730 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9708 ดอลลาร์ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ปรับตัวลง 0.07% แตะที่ 0.7527 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7532 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันหลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปฏิเสธแผนการที่จะเพิ่มทุนแก่ธนาคารบังเกีย ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสเปน ซึ่งจุดปะทุความวิตกว่าสเปนจะเป็นประเทศต่อไปในยูโรโซนที่จะก่อวิกฤตหนี้
นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐยังส่งผลสกุลเงินยูโรอ่อนแอลงด้วย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ค. เพิ่มขึ้น 10,000 ราย มาอยู่ที่ 383,000 ราย จากระดับ 373,000 ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3,750 ราย มาอยู่ที่ 374,500 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐกำลังอ่อนแรงลง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงขยายตัว 1.9% ในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งเป็นการปรับทบทวนลงจากตัวเลขประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 2.2% โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคส่วนบุคคลที่อ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ และการนำเข้าที่แข็งแกร่งกว่าคาด
นอกจากนี้ กิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐของขยายตัวช้าลง โดยสำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า กิจกรรมทางธุรกิจในเขตชิคาโกหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 52.7 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2552 ขณะที่ ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 133,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่งโดยประมาณ