สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซนจะหาแนวทางในการผนวกรวมมาตรการด้านการคลัง เพื่อต้านวิกฤตหนี้สาธารณะ
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.52% แตะที่ 1.2497 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2432 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 0.19% แตะที่ 1.5390 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5361 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.51% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 78.390 เยน จากระดับ 7.990 เยน และร่วงลง 0.54% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9606 ฟรังค์ จากระดับ 0.9658 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.36% แตะที่ 0.9733 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9698 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.56% แตะที่ 0.7575 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7533 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรดีดตัวึ้นหลังจากนายเฮอร์มาน แวน รอมพาย ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่ายูโรโซนจะใช้มาตรการผนวกรวมด้านเศรษฐกิจและการคลังภายในสิ้นปีนี้
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเนือ่งจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อใหม่ของภาคโรงงานในสหรัฐ หดตัวลง 0.6% ในเดือนเม.ย. ทำสถิติหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากภาคธุรกิจขยายตัวช้าลง
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานในเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.2% จากระดับ 8.1% ในเดือนเม.ย. ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับเดิม ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 69,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.