นายโธมัส เคอร์รี่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบบัญชีของสหรัฐ กล่าวกับวุฒิสภาสหรัฐว่า การที่เจพีมอร์แกน เชส ขาดทุนจากธุรกิจเทรดดิ้งเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการความเสี่ยงของเจพีมอร์แกน
นายเคอร์รี่กล่าวว่า กรณีของเจพีมอร์แกนถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสมภายใน Chief Investment Office ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านบริหารความเสี่ยงของเจพีมอร์แกน และยังกล่าวด้วยว่า สำนักงานตรวจสอบบัญชีของสหรัฐกำลังเข้าไปตรวจสอบเพื่อดูว่า มีช่องโหว่เกิดขึ้นในระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงของเจพีมอร์แกนหรือไม่
วุฒิสมาชิกทิม จอห์นสัน ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการด้านธนาคารและการเคหะของสหรัฐ กล่าวว่า การขาดทุนที่เกิดขึ้นกับธนาคารรายใหญ่สุดและมีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุดของสหรัฐนั้น แสดงให้เห็นว่า ไม่มีสถาบันการเงินแห่งใดที่มีภูมิต้านทานจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน มีกำหนดจะชี้แจงต่อวุฒิสภาสหรัฐในวันที่ 13 มิ.ย. และชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการด้านบริการการเงินแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ โดยคาดว่านายไดมอนจะถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายกำกับดูแล ให้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อเทรดเดอร์
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), คณะกรรมการกำกับดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าของสหรัฐ (CFTC) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กำลังดำเนินการตรวจสอบการขาดทุนของเจพีมอร์แกนด้วยเช่นกัน
เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐยอมรับว่า ธนาคารขาดทุนอย่างไม่คาดคิดจากการทำธุรกิจเทรดดิ้งเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเก็งกำไรที่ผิดพลาดในตราสารอนุพันธ์ของ Chief Investment Office พร้อมกับกล่าวว่า หลังจากที่ได้พิจารณาถึงรายได้ทางด้านหลักทรัพย์อื่นๆแล้ว เจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มประมาณการการขาดทุนสุทธิของ Chief Investment Office เป็น 800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ ตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไร 200 ล้านดอลลาร์
นายเจมี ไดมอน ประธานบริหารของเจพีมอร์แกนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การขาดทุนครั้งนี้มีสาเหตุมาจาก "ความผิดพลาด, ความประมาท และการตัดสินใจที่ไม่มีประสิทธิภาพ"