นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร และผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร เข้าชี้แจงงบประมาณปี 56 ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะกระทบต่อรายได้ของประเทศหรือไม่
นายสาธิต กล่าวว่า แม้การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปประมาณ 150,000 ล้านบาท แต่กรมสรรพากรก็มีมาตรการรองรับไว้แล้ว โดยการขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น เช่น การตรวจสอบผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ E-commerce อย่างเข้มงวด หรือการสร้างนวัตกรรมเพื่อตรวจสอบการเสียภาษีตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมทั้งเสริมสร้างการให้บริการผู้เสียภาษีไปพร้อมกัน
"กรมสรรพากรมั่นใจว่าการขยายฐานภาษีดังกล่าว จะทำให้กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้มากกว่าประมาณการที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน" อธิบกรมสรรพากร ระบุ
พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ทุกประเทศต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศโดยปรับลดอัตราภาษีเงินได้และเน้นการจัดเก็บภาษีการบริโภคแทน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนจะพบว่าก่อนปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลง ประเทศไทยมีอัตราภาษีสูงเกือบที่สุด
ดังนั้นประเทศไทยจึงมีความจำเป็นจะต้องปรับลดอัตราภาษีลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งเมื่อปรับลดลงเหลือ 23% ในปีนี้ และเหลือ 20% ในปีหน้าเป็นต้นไป ประเทศไทยก็จะสามารถก็แข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น โดยมีเพียงประเทศสิงคโปร์เท่านั้นที่มีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าประเทศไทยที่ 17%