นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีธนาคารโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบจากวิกฤตเศรษบกิจในสหภาพยุโรป(อียู) ว่า เวลามีปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นก็จะมีผลกระทบเกิดขึ้นใน 2-3 เรื่อง ได้แก่ 1.กำลังซื้ออาจจะน้อยลง ซึ่งหมายถึงการนำเข้าอาจจะน้อยลง ก็แปลว่าการที่เราจะส่งออกก็จะมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ 2.ประเทศเหล่านั้นอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนองค์กร หรือสถาบันต่างๆ ก็อาจจะทำให้อัตราดอกเบี้ยตึงตัวขึ้นในบางประเทศ ซึ่งก็อาจเป็นการดึงดูดเงินทุนเข้าไปในประเทศกลุ่มเหล่านั้น ดังนั้นประเทศอื่นๆ อาจจะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของเงินทุน
"สำหรับการเตรียมตัวของเราคือ หากมีการนำเข้าที่น้อยลงจากประเทศใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องเตรียมตัวส่งออกให้เพิ่มมากขึ้นไปยังกลุ่มประเทศที่ไม่มีปัญหาหรือปัญหาน้อย นอกจากนี้ต้องมาดูในเรื่องของการส่งเสริมกำลังซื้อภายในประเทศ ซึ่งกรณีเหมือนกับการเกิด แฮมเบอร์เกอร์ไคลซิสที่สหรัฐ ซึ่งการที่รัฐบาลขณะนั้นดำเนินการคือการกระตุ้นกำลังซื้อด้วย พรก.ไทยเข้มแข็ง แต่ในกรณีนี้เราเตรียมการมาก่อนทั้งการส่งเสริมกำลังซื้อในประเทศด้วยการเพิ่มรายได้ของผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งเริ่มดำเนินการมาแล้ว และเริ่มส่งผลในเรื่องของกำลังซื้อในประเทศชัดเจนขึ้น" นายกิตติรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ตนเองคณะทำงานที่ประกอบด้วยนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถ แต่คงเปิดเผยชื่อไม่ได้ มาคอยรับมือกับวิกฤตนี้แล้ว และกลุ่มอาเซียนเองก็มีการหารือเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิด ในการที่จะช่วยเหลือหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับประเทศใดในอาเซียน เช่น จากเดิมมีกำหนดจะให้การช่วยเหลือ 20% ก็เพิ่มเป็น 30% ที่เหลือก็ต้องรอจากไอเอ็มเอฟก่อน
"หลายอย่างมีการเตรียมการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระมัดระวังรอบคอบมาก่อนหน้านี้ทั้งในระดับรายประเทศและอนุภูมิภาคมาแล้ว เพราะฉะนั้นไม่หนักใจเพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องมากระตือรือร้นวางแผน เพราะมีการเตรียมการมานานแล้ว" นายกิตติรัตน์ กล่าว
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การที่สถานการณ์ในประเทศขณะนี้มีความสงบเรียบร้อยดี ที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็พยายามทำงานร่วมกันอย่างอะลุ้มอล่วย ซึ่งส่วนตัวมองว่าบรรยากาศของบ้านเมืองขณะนี้ก็เริ่มคลายความตึงเครียดแล้ว และเห็นความตั้งใจของทุกๆ ฝ่ายในการที่จะหันหน้าเข้าหากัน ทางด้านเศรษฐกิจก็เบาใจ