ผลการสำรวจความคิดเห็นของแกลลัพ โพลล์ (Gallup Poll) ระบุว่า ในช่วง 5 เดือนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ชาวอเมริกันยังคงเชื่อว่าอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อของสหรัฐอเมริกา มากกว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเมื่อ 3 ปีก่อน
ชาวอเมริกันราว 68% กล่าวโทษอดีตปธน.บุช ว่าทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากหรือปานกลาง เมื่อเทียบกับชาวอเมริกันกว่า 52% ที่คิดว่าต้นเหตุมาจากรัฐบาลของปธน.โอบามา ซึ่งเป็นสัดส่วนเท่ากับเดือนกันยายนปีที่แล้ว
แกลลัพเริ่มทำผลสำรวจ “การประเมินหาผู้รับผิดชอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ" ครั้งแรกเมื่อก.ค.2552 หลังปธน.โอบามาเข้ารับตำแหน่ง 6 เดือน ในเวลานั้น 80% และ 32% ของชาวอเมริกันกล่าวโทษอดีตปธน.บุชและปธน.โอบามา ตามลำดับ ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ
ทั้งนี้ ชาวอเมริกันที่สนับสนุนพรรคพับลิกันและพรรคเดโมแครต ให้คะแนนผลสำรวจกล่าวโทษผู้ทำเศรษฐกิจตกต่ำแตกต่างกัน โดย 90% ของผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตกล่าวโทษอดีตปธน.บุช ซึ่งต่างกับ 19% ที่กล่าวโทษปธน.โอบามา ในขณะที่ผู้ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน 83% กล่าวโทษปธน.โอบามาและ 49% กล่าวโทษอดีตปธน.บุช ส่วนประชาชน 67% ที่ไม่สนับสนุนพรรคใดกล่าวโทษอดีตปธน.บุช และ 51% กล่าวโทษปธน.โอบามา ว่าเป็นผู้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ
นายแฟรงค์ นิวพอร์ต หัวหน้าบรรณาธิการของแกลลัพกล่าวว่า ชาวอเมริกันยังคงเห็นว่าเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ และในการเลือกตั้งที่มีแนวโน้มจะถูกกำหนดโดยเศรษฐกิจที่ย่ำแย่นั้น ประเด็นเกี่ยวกับผู้ที่เป็นสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม นายนิวพอร์ตกล่าวว่ายังคงต้องจับตาดูว่าชาวอเมริกันจะเปิดกว้างต่อการพูดถึงประเด็นดังกล่าวต่อไปในช่วงหลายเดือนก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.หรือไม่
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของแกลลัพ โพลล์อีกฉบับหนึ่งที่มีการเผยแพร่เมื่อวันพุธระบุว่า มีชาวอเมริกันเพียง 20% พอใจกับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากหลายเดือนที่ผ่านมา