บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2 ชุดของ บริษัท อีซี่ บาย จำกัด ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยชุดแรกอายุ 4 ปีในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทและชุดหลังอายุ 3 ปีวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตระดับ “BBB" ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันอายุ 3 ปีวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Positive" หรือ “บวก" โดยทั้งหุ้นกู้มีการค้ำประกันและหุ้นกู้ไม่มีประกันอายุ 3 ปี 2 ชุดหลังจะถูกนำมารวมวงเงินเข้าด้วยกันในมูลค่าไม่เกิน 1,500 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งประกาศพร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+" โดยแนวโน้มยังคง “Positive" หรือ “บวก"
อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของบริษัทอีซี่ บายในช่วงปี 2551-2554 และสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดด้วยฐานะทางเครดิตที่อ่อนแอลงของบริษัทแม่คือ ACOM Co., Ltd. (ACOM) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จากความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงในอนาคต
ในขณะที่แนวโน้ม “Positive" หรือ “บวก" ของอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันสะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นโดยเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ระมัดระวัง โดยบริษัทสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2553 ปี 2554 และไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต และทำให้อันดับเครดิตของบริษัทแข็งแรงขึ้น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา บริษัทเปลี่ยนฐานะเป็นบริษัทต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย หลังจากที่ ACOM ได้ซื้อหุ้นของบริษัทอีซี่บายที่ถือโดยกองทุนเพื่อการร่วมทุนในสัดส่วน 25.5% ทำให้ ACOM ถือหุ้นเป็นสัดส่วน 74.5% ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว บริษัทมีเงื่อนไขในการดำรงเงินทุนอย่างเพียงพอเพื่อให้หนี้สินของบริษัทมีสัดส่วนเท่ากับหรือไม่เกิน 7 เท่าของทุนจดทะเบียนของบริษัท
อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัทอีซี่ บาย ทั้งนี้ฐานะการเงินของ ACOM อ่อนแอลงตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินตามผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมาย “Money Lending Business Law" ในประเทศญี่ปุ่น และภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง อันดับเครดิตของ ACOM ในปัจจุบันอยู่ในระดับ “BB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s (S&P)
ขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกัน “Stable" หรือ “คงที่" นั้นสะท้อนถึงฐานะทางการเงินของ ACOM ที่เข้มแข็งขึ้นในปีงบประมาณ 2555 และแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แรงกดดันต่อผลประกอบการทางการเงินก็ลดลงเนื่องจากแนวโน้มที่ลดลงของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกิน การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้อาจมีการพิจารณาใหม่เมื่อทริสเรทติ้งเห็นการเปลี่ยนแปลงในการสนับสนุนที่มีต่อ ACOM จาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการชำระหนี้ทันที
นอกจากนี้ หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หาก ACOM ไม่สามารถจ่ายชำระได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ค้ำประกัน ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน
ACOM รายงานผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 21 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2555 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2555) เนื่องจากการลดลงอย่างมากของการกันสำรองเพิ่มจากการที่ผู้กู้สามารถขอดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้คืน และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิถึง 203 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2554
ณ เดือนมีนาคม 2555 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บายมีจำนวน 68 พันล้านเยน คิดเป็นสัดส่วน 7% ของสินเชื่อรวมของ ACOM บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจอันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ทางธุรกิจที่ใช้ในทางปฏิบัติด้วย
การมีประสบการณ์เกือบ 15 ปีส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างเต็มที่จาก ACOM ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากขึ้น
ตั้งแต่ปี 2551 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอีซี่ บายดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 5.62% ในปี 2550 เป็น 2.14% ในปี 2554 และ 2.09% ณ เดือนมีนาคม 2555 ในขณะที่สัดส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยก็ลดลงจาก 13.22% ในปี 2552 เป็น 9.29% ในปี 2553 และเป็น 6.73% ในปี 2554 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนเพียงเล็กน้อยจากผลกระทบของอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 เนื่องจากบริษัทได้ปรับฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้ทำงานในโรงงานมาเป็นกลุ่มผู้ทำงานในอาคารสำนักงานตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์
บริษัทอีซี่ บายมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้นหลังปี 2550 จนบริษัทเริ่มกลับมามีกำไร โดยในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท ปี 2552 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 329 ล้านบาท ปี 2553 เป็น 925 ล้านบาท และในปี 2554 เป็น 1,310 ล้านบาท สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 รายได้สุทธิยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 524 ล้านบาทจาก 346 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องโดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลง การมีกำไรที่แข็งแกร่งในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลไม่มากทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 5.70% ในปี 2550 เป็น 10.58% ในปี 2553 เป็น 14.53% ในปี 2554 และเป็น 15.67% ณ เดือนมีนาคม 2555 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันจาก 14 เท่าในปี 2551 เป็นอัตราที่น้อยกว่า 6 เท่าในปี 2554 และ ณ เดือนมีนาคม 2555