สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่ากลุ่มผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) จะสามารถบรรลุข้อตกลงการใช้มาตรการควบคุมวิกฤตหนี้ยุโรป ในการประชุมสัปดาห์นี้
ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.18% แตะที่ 1.2466 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2489 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลง 0.43% แตะที่ 1.5569 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5637 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.31% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 79.730 เยน จากระดับ 79.480 เยน และแข็งค่าขึ้น 0.15% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9628 ฟรังค์ จากระดับ 0.9614 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.17% แตะที่ 1.0077 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0060 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.16% แตะที่ 0.7914 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7901 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่าที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะสามารถคลี่คลายวิกฤตหนี้ยุโรปได้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลหลังจากนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า เธอไม่เห็นด้วยกับการออกพันธบัตรหรือตั๋วเงินคลังร่วมกันในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรบอนด์) พร้อมกับเตือนว่ายุโรปไม่ควรหวังว่าจะมีวิธีที่รวดเร็วหรือง่ายดายในการแก้ปัญหาหนี้ในภูมิภาค
นางแมร์เคลกล่าวว่า การออกพันธบัตรร่วมกันจะทำให้ประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยเหมือนแต่ก่อน และจะทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่พยายามปฏิรูปทางการเงินซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ นอกจากนั้นเยอรมนียังไม่ต้องการเป็นลิ้นชักเก็บเงินอัตโนมัติที่ให้ชาติสมาชิกยูโรโซนที่เป็นหนี้มาหยิบเงินใช้ได้ตามสบาย
อิตาลีระดมทุนจากการประมูลขายตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนได้ 9 พันล้านยูโร โดยอัตราผลตอบแทนพุ่งแตะ 2.567% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่ปลายปี 2554 เมื่อเทียบกับการประมูลครั้งก่อนที่ 2.104% ส่วนความต้องการซื้อสูงกว่าจำนวนที่เปิดประมูลอยู่ 1.62 เท่า เทียบกับการประมูลในเดือนก่อนที่ 1.61 เท่า
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้น 5.9% สู่ระดับ 101.1 จุด และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนขยายตัว 1.1% ในเดือนพ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดสั่งซื้ออุปกรณ์ในภาคขนส่งที่ขยายตัว 2.7% เพราะยอดจองเครื่องบินและยอดสั่งซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น