นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับทูตพาณิชย์และหัวหน้าสำนักงานการค้าต่างประเทศ มั่นใจว่าการส่งออกปีนี้ยังขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 15% ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ถึง 7% เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศ และภาคการผลิตยังคงขยายตัวได้ดี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัว
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันถึงปัญหาเศรษฐกิจยุโรปที่สร้างความกังวล แต่โดยรวมมองว่าเศรษฐกิจยุโรปยังขยายตัวเป็นบวกได้ และมีการเตรียมการขยายการค้าการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศนอกยุโรปที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งไทยพร้อมที่จะเป็นคู่ค้าที่ดี
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามี 3 ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายุโรปและจะต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด คือ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะทองคำ ซึ่งปริมาณการส่งออกไม่ได้ลดลง แต่มูลค่าลดลงเนื่องจากราคาทองคำที่ลดลง ส่วนสินเค้าประเภทเครื่องเงินยังส่งออกได้ดี
รวมทั้งอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม พบว่าส่งออกไปยังยุโรปลดลง แต่การส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปตะวันออกมากขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ที่ส่งออกลดลงเนื่องจากกำลังการผลิตในประเทศยังกลับมาได้ไม่เต็มที่
"ขณะนี้สถานการณ์ของยุโรปยังทรงตัว ทำให้มีเวลาทำงานมากขึ้น ซึ่งการประชุมร่วมกันครั้งนี้ก็ได้มีการชี้แนะแนวทางการทำงาน"นายกิตติรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการภาษีหรือมาตรการอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อผลักดันการส่งออก เพราะการดำเนินการใดๆ จะต้องทำให้เกิดเสถียรภาพที่ดี จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเพิ่มหรือลดภาษี หรือลดราคาใดๆ แต่รัฐบาลจะเตรียมการจัดงาน Thailand Festival ที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลีในเร็ว ๆ นี้ โดยจะนำสินค้า บริการ และการท่องเที่ยวของไทยไปนำเสนอ หลังจากก่อนหน้านี้มีการจัดงานลักษณะดังกล่าวที่ประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว
นอกจากนี้ นายกิตติรัตน์ ยังได้เสนอแนะภาคธุรกิจไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในประเทศแถบยุโรป ควรดำเนินธุรกิจแบบสร้างสรรค์และเป็นมิตรด้วยการเข้าไปเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ หรือการเป็นผู้ร่วมทุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการเข้าไปซื้อกิจการหรือเทคโอเวอร์ เนื่องจากยุโรปเป็นประเทศที่มีประวัติยาวนาน มีตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถืออยู่แล้ว