น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการส่งออกเพื่อผลักดันการส่งออกให้มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 15 (ปี 2555) ว่า วัตถุประสงค์ที่เรามาประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ เพราะภาครัฐเองมีความมั่นใจถ้าเราได้ทำงานร่วมกันกับภาคเอกชน
"สถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ เราก็ไม่อยากให้อยู่ในความประมาท เราต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคส่งออก เนื่องจากอัตราการส่งออกได้รับผลกระทบจากกลุ่มประเทศยุโรป"
ทั้งนี้ โดยรวมภาคเอกชนเองก็มีความต้องการให้ภาครัฐตั้งคณะทำงานในการที่จะแก้ปัญหาเร่งด่วนให้ภาคเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลดปัญหาเรื่องอุปสรรคต่างๆ เช่น เรื่องความแออัดของท่าเรือหรือสิ่งต่างๆที่จะช่วยในการอำนวยความสะดวก แต่แน่นอนว่า ในระยะยาวเราเองคงไม่แก้ปัญหาแค่การตั้งรับ แต่ก็มานั่งคุยกันถึงวิธีการและศักยภาพที่วันนี้เองปัญหาเศรษฐกิจของโลกก็เปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องมาทำความเข้าใจว่า ภูมิภาคไหนที่มีเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะให้กระทรวงพาณิชย์ไปสำรวจว่า แต่ละประเทศมีนโยบาย มีโครงสร้างในการลงทุน มีโครงการสร้างเรื่องการส่งออกอย่างไร เพื่อที่จะทำความเข้าใจให้ชัดเจน และจะมาทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการแก้ปัญหาในเขตประเทศที่มีผลกระทบจากกลุ่มประเทศยุโรป และต้องรักษาฐานในประเทศที่มีศักยภาพอยู่ และพร้อมที่จะเปิดในส่วนของประเทศอื่นๆที่มีศักยภาพใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้โอกาศในการสร้างรายได้ใหม่ในระยะยาว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจะช่วยเพิ่มศักยภาพของภาคเอกชน เป็นเรื่องของความเข้าใจโครงสร้างต่างๆทางด้านสินค้า การตลาด และโครงสร้างเชิงลึกในแต่ละรายอุตสาหกรรม เพื่อให้แต่ละอุตสาหกรรมนั้นสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ที่สำคัญภาครัฐจะได้เข้ามาบูรณาการที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้จะมีการเวิร์คชอปกันอีกหลายครั้ง เพื่อเจาะลึกในรายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความเร่งด่วน
นายกฯ ยอมรับว่าเป้าหมายการส่งออกร้อยละ 15 ที่ตั้งเอาไว้ เป็นเป้าหมายที่ท้าทายในสถานการณ์นี้ แต่เราไม่อยากเห็นภาพที่พอมีปัญหาแล้วก็มองที่ตั้งเป้า เพราะเราคิดว่าในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนก็ขอทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เป้าหมายอันนี้บรรลุให้ได้ ทั้งนี้ เราต้องทำงานอย่างใกล้ชิด และปรับตัวให้เร็ว เป้าหมายนี้ก็น่าจะเป็นไปได้