ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ เรื่อง "โอกาสและข้อจำกัดของไทยในวิกฤติหนี้ยุโรป" พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 41.9% มีความคิดเห็นต่อการปรับตัวของประเทศไทยเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติหนี้ในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกด้วยการขยายความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน, ขยายการค้าในตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากตลาด EU และตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดเก่า
ขณะที่รองลงมา 25.8% เห็นว่าควรใช้วิกฤติหนี้ของยุโรปเป็นบทเรียนในเรื่องการบริหารหนี้ บริหารการเงินของรัฐ โครงการรัฐสวัสดิการต่างๆ และควรเร่งปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง
ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 37.5% เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัญหาอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่สำคัญของไทยที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกในระดับที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น รองลงมา 20.9% เห็นว่าต้นทุนการผลิตสูง ประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำ ข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับต่ำส่งผลต่อระดับผลกระทบที่อาจจะได้รับ
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นผลมาจากวิกฤติในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น(ปัจจุบันถึงปีหน้า)นั้น นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 88.9% มองว่าการส่งออกจะลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยส่งออกอื่นๆ รองลงมา นักเศรษฐศาสตร์ 25% มองว่าจะทำให้เกิดความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน/ค่าเงินบาท
ส่วนผลกระทบในระยะยาว(อีก 2-3 ปีข้างหน้า) คือ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 33.3% มองว่าการส่งออกจะยังลดลง การปกป้องสินค้าของประเทศตนจากประเทศผู้นำเข้า รองลงมานักเศรษฐศาสตร์ 18.2% มองว่าเป็นเสถียรภาพทางด้านการคลังจากการก่อหนี้เพื่อกระตุ้นหรือประคองเศรษฐกิจในประเทศซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น และการลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนจากต่างประเทศที่จะน้อยลง
สำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาลในการนำพาเศรษฐกิจของประเทศฝ่าวิกฤติหนี้ในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก มีดังนี้ 1.รัฐควรใช้นโยบายการคลังที่มุ่งประสิทธิภาพ ลดรายจ่ายประชานิยม มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ 2.สร้างกำลังซื้อ ขยายตลาดในประเทศ เพื่อทดแทนตลาดต่างประเทศ 3.วิกฤติครั้งนี้คงจะยืดเยื้อ ขอให้รัฐบาลเตรียมพร้อมแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ
อนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 20 แห่ง จำนวน 40 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 27 มิ.ย. — 3 ก.ค.55