จีนวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งยังล้าหลังอยู่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมีความสามารถทางการแข่งขันมากขึ้นในตลาดโลก
เว็บไซต์ของรัฐบาลได้เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าการผลิตรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและรถไฮบริดเอาไว้ที่ 500,000 คัน ในปี 2558 โดยยอดการผลิตของรถทั้ง 2 ชนิดนั้นคาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 2 ล้านคันในปี 2563
เมื่อแผนดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ คาดว่าอัตราการใช้น้ำมันเบนซินโดยเฉลี่ยต่อรถยนต์นั่ง 1 คันจะลดลงอยู่ที่ 6.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ในปี 2558 ในขณะที่อัตราการใช้เชื้อเพลิงต่อรถยนต์นั่งแบบประหยัดพลังงาน 1 คันจะลดลงต่ำกว่า 5.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
แผนดังกล่าวเปิดเผยว่าในปี 2563 อัตราการใช้น้ำมันเบนซินจะอยู่ที่ 5 ลิตร โดยในส่วนของรถยนต์ประหยัดพลังงานจะลดลงต่ำกว่า 4.5 ลิตร
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมได้กล่าวเตือนว่า จีนกำลังเผชิญกับปัญหาช่องว่างที่ยังห่างจากผู้ผลิตในตลาดโลกอยู่มากสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ก็กำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมภาคดังกล่าวด้วยเช่นกัน
รายงานการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ให้ข้อมูลว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ “ล้าหลัง" และจีนยังไม่มีกระบวนการผลิตแบบคราวละมาก ๆ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนยังตามหลังบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ รถไฮบริดของจีนยังไม่สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับคู่แข่งต่างชาติ ซึ่งรายงานร่วมแถลงโดยฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมในสังกัดศูนย์วิจัยการพัฒนาประจำคณะรัฐมนตรีจีน สมาคมวิศวกรรมยานยนต์จีน และโฟลค์สวาเก้น ประเทศจีน
รายงานยังเปิดเผยอีกว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่เข้าร่วมการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เช่น สถานีชาร์จไฟ โดยข้อมูลในรายงานชี้ให้เห็นว่ามีการสร้างสถานีชาร์จไฟเพียง 168 แห่งในเมืองทดลอง 25 เมือง ในปี 2554
นอกจากนี้รายงานดังกล่าวยังชี้ว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะเป็น “ช่วงเวลาพลิกผัน" ซึ่งจะเกิดอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานชนิดใหม่ขึ้น และประเทศผู้ผลิตยานยนต์รายหลัก ๆ เช่น สหรัฐ และเยอรมนี ได้ดำเนินการเพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน