นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากวิกฤติหนี้ยุโรป ความเสี่ยงจากน้ำท่วม และสถานการณ์การเมืองในประเทศ
"เท่าที่มองแม้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะไปได้ต่อเนื่อง แต่ก็มีโอกาสสูงที่ครึ่งปีหลังจะลดลงกว่าครึ่งปีแรก เพราะมีปัจจัยเสี่ยงในครึ่งปีหลังจะมีมากขึ้น...สรุปแล้วเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยสนับสนุนุจากนโยบายรัฐบาลในการใช้จ่ายจากการฟื้นฟูน้ำท่วม ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจได้ต่อไป แต่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากนอกประเทศ นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆใกล้ชิด"นายบัณฑิต กล่าวในหัวข้อ"ทิศทางและดอกเบี้ยไทย ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลเข้าและวิกฤตหนี้ยุโรป"
ปัจจัยในช่วงครึ่งปีหลังที่มีมากขึ้น ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปจะสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น และปัญหาจะยืดเยื้อมากขึ้น คาดว่าจะกระทบต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง รวมถึงความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้อีก และหากการบริหารจัดการไม่ชัดเจนจะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมถึงการลงทุนของนักลงทุนไทยและต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศที่จะต้องติดตามต่อเนื่องว่าจะกระทบความเชื่อมั่นต่อธุรกิจภาคเอกชนอย่างไร
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยในประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง เห็นว่ามีทิศทางที่ผ่อนคลายได้มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงต่างๆ ทางเศรษฐกิจ โดยไม่มีปัจจัยอัตราเงินเฟ้อมากดดัน ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3% เป็นการส่งสัญญาณที่จะดำเนินนโยบายการเงินยืดหยุ่นและสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีแรก อัตราผลตอบแทนระยะสั้นได้สะท้อนทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และต้องติดตามว่าระยะต่อไปทางการจะปรับทิศทางดอกเบี้ยตามทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้ามาก ช่วงครึ่งปีแรกมีนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อพันธบัตรไทยรวม 2 แสนล้านบาท ทำให้มียอดสะสมรวม 6 แสนล้านบาท