สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลลง หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนไม่ได้ชะลอตัวลงอย่างมากดังเช่นคาดการณ์
ยูโรดีดตัวขึ้น 0.37% แตะที่ 1.2241 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2196 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปอนด์พุ่งขึ้น 1% แตะที่ 1.5576 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5422 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนตัวลง 0.09% เมื่อเทียบกับเยน แตะที่ 79.210 เยน จากระดับ 79.280 เยน และร่วงลง 0.29% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิส แตะที่ระดับ 0.9811 ฟรังค์ จากระดับ 0.9840 ฟรังค์
ดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.88% แตะที่ 1.0222 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0133 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.66% แตะที่ 0.7947 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7895 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนขยายตัวที่ระดับ 7.6% ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในช่วง 3 ปี แต่ก็สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดวอลล์สตรีท และสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน
สกุลเงินยูโรยังดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าสถาบันจัดอันดับความนาเชื่อถือมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส จะประกาศลดอันดับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีลง 2 ขั้นสู่ระดับ Baa2 จากระดับ A3 ก็ตาม
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนแรงลงหลังจากของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนก.ค. ร่วงลงสู่ระดับ 72 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ จากระดับ 73.2 จุดในเดือนมิ.ย. เนื่องจากตลาดแรงงานมีสัญญาณการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย