นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวในรายการ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน"ว่าสถานการณ์วิกฤตในยุโรปล่าสุดยังทรงตัว ประเทศต่างๆที่ประสบปัญหายังคงต้องพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ เห็นได้จากการประชุมผู้นำในยุโรปในการระดมสรรพกำลังและการเพิ่มทุน ซึ่งก็ส่งผลบวกให้ความรู้สึกได้พอควร แต่ขณะเดียวกันก็เห็นว่าประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศพร้อมเผชิญปัญหาในยุโรป
ไทยเองก็ประกาศดำเนินนโยบายไว้ในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพ เชื่อว่ามาตรการที่ทำมาแล้วเริ่มส่งผลดีต่อในประเทศ ประเทศคู่ค้า การค้าชายแดน และการค้าในระบบหลัก ยังติดตามอยู่และติดตามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็ยังไม่ได้มีอะไรที่บ่งชี้ว่าจะลุกลามมีปัญหา เพราะได้บอกแล้วว่าในยุโรปเองก็มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ เราก็ต้องเตรียมตัวแต่ก็ต้องเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างกันและกัน
ในส่วนของมาตรการที่ดำเนินการ มีธนาคารของรัฐที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาล เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) ธ.เอสเอ็มอี ธนาคารออมสิน ที่มีการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ และองค์กรที่มีหน้าที่ในการค้ำประกันสินเชื่อก็มีการดูแลการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ องค์กรเหล่านี้มีความพร้อมในการดูแลต่างๆ ในอดีตเรามีการตั้งกองทุนต่างๆ แต่เราไม่ค่อยมีกลไก ความจำเป็นในการตั้งกองทุนบางทีก็มีแค่หลักพันหลักหมื่น แต่ขณะนี้มีความพร้อมในเรื่องของกลไกที่จะดูแลได้
ในส่วนของอุตสาหกรรมต่างๆเราก็มีการดูแล ด้วยการแบ่งเป็นเซ็คเมนท์ เช่น สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มไม่สูง ไปจนถึงสินค้าที่มีการออกแบบยอดเยี่ยมและขายได้สูง ก็จะมีการเวิร์คชอปที่แตกต่างกัน ในส่วนของสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ อัญมณี ก็จะมีการประชุมแยกหารือกัน หลังจากที่หารือรวมไปแล้ว ก็จะดูแลเพื่อให้ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น
ส่วนการเปิดตลาดใหม่นั้น รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวว่า ในส่วนของตลาดเดิมๆก็ยังมีการเติบโตดี ส่วนการที่ประเทศในเอเชียมีการลดเป้าการขยายตัว ก็คือ ไม่ได้ขยายตัวมากอย่างที่เคย แต่ยังส่งออกและเติบโตได้ ส่วนตลาดเกิดใหม่ที่ยังไม่ได้เข้าไปทำงานกันเข้มแข็งกันมากนัก เช่น ทวีปแอฟริกาที่คาดว่ากำลังซื้อจะดีขึ้นในอนาคตก็เป็นตลาดที่ควรได้รับการเอาใจใส่ เรามีตลาดในยุโรปตะวันออก ขณะนี้ประเทศเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป การจ้างงาน กำลังซื้อดีขึ้น ซึ่งต้นเดือนส.ค.นี้ก็จะมีการประชุมเอกอัครราชทูตที่เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์