นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)ภาคครัวเรือนว่า รัฐบาลจำเป็นต้องปรับขึ้นแน่นอนเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาในตลาดโลก หลังจากรัฐบาลที่ผ่านมาได้อุดหนุนเป็นเวลานานจนทำให้ราคาของไทยบิดเบือนจากราคาตลาดโลกไปมาก แต่การปรับราคาจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ขึ้นครั้งเดียวเต็มเพดาน เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกินไป
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.นั้น ไม่ทราบว่าข่าวมาจากที่ใด ซึ่งในวันที่ 16 ส.ค.นี้ รัฐบาลอาจจะปรับหรือไม่ปรับขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบให้รอบด้านก่อน
"ขอย้ำว่ารัฐบาลต้องปรับขึ้นราคาแอลพีจีแน่นอน เพื่อทำให้ราคาในประเทศเป็นไปตามราคาตลาดโลก แต่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะจะต้องไม่กระทบกับประชาชนผู้ใช้ก๊าซมากเกินไป และต้องไม่กระทบกับภาวะเงินเฟ้อในประเทศด้วย" นายกิตติรัตน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม กล่าวคือ เงินเฟ้อพื้นฐาน(Core CPI) ที่ไม่คำนวณสินค้าอาหาร และพลังงาน ตั้งเป้าอยู่ที่ 0.5-3.0% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป(CPI) ปีนี้ไม่เกิน 1.5-4.5% ซึ่งถ้าหลุดจากกรอบนี้คงต้องควบคุม
ด้านนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลจะขึ้นราคาแอลพีจี ต้องการให้ปรับขึ้นในภาคที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดก่อน เช่น ภาคขนส่งหรือในภาคอุตสาหกรรม เพราะมีการใช้น้อยกว่าภาคครัวเรือน
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คำนวณเบื้องต้นแล้ว พบว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน 20-30% ตั้งแต่เดือนส.ค.นี้จนถึงสิ้นปี จะทำให้เงินเฟ้อปรับขึ้นทันที 0.037% หรือจะทำให้เงินเฟ้อในปีหน้าทั้งปีเพิ่มขึ้น 0.11% รวมถึงจะทำให้ต้นทุนการผลิตอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นทันทีจานละ 0.25% หรือประมาณ 25 สตางค์เท่านั้น ซึ่งไม่มีผลทำให้ผู้ค้าอาหารปรุงสำเร็จต้องปรับขึ้นราคาขาย