นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือขยายตัวเพียง 5.6% จากเดิม 5.9% เนื่องจากสมมติฐานเบื้องต้นไม่เป็นตามคาด เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่ถึงขณะนี้กลับแย่ลง, ความมีเสถียรภาพทางการเมืองที่น่าจะมากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่แน่นอน และภาวะราคาสินค้าที่แพงมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อไม่สูงนัก
ประกอบกับ ราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคายางพารา และข้าวไม่สูงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ส่วนการส่งออกปีนี้ก็ไม่โดดเด่น แต่ตัวที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้โตที่ระดับ 5.5-6% ได้คือ การลงทุนของภาครัฐและเอกชน และการท่องเที่ยว
"ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตแค่ 5.6% เพราะเศรษฐกิจโลกรุนแรงมากขึ้นจากปัญหาวิกฤติของยุโรป อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ยังซึมตัวอีก ดังนั้นจึงทำให้การส่งออกของไทยโตได้แค่ 8-9% เท่านั้น ประกอบกับการเมืองในประเทศยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ขณะที่การอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนของรัฐบาลในโครงการต่างๆ ยังล่าช้าอยู่มาก" นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ ยังคาดว่าภาคท่องเที่ยวในปี 55 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาไทย 20.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก 8% ที่มีจำนวน 9.9 ล้านคน คาดจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวประมาณ 792,500 ล้านบาท ภาคการใช้จ่ายด้านการบริโภคของเอกชน คาดว่าจะอยู่ที่ 4.6% เพราะสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายทำให้ประชาชนมีการบริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการประชานิยมในรูปแบบต่างๆ ของภาครัฐที่หาเสียงไว้ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้
ขณะที่การลงทุนตลอดทั้งปีนี้คาดว่าจะขยายตัว10.8% เร่งขึ้นจากการลงทุนใหม่ที่ขยายตัว 3.3% เพราะฐานขยายตัวในปีก่อนต่ำ และมีการลงทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด รวมถึงการลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับการค้าระหว่างประเทศและดุลการค้าปี 55 คาดว่าการส่งออกตลอดทั้งปีนี้จะขยายตัว 8.7% มีมูลค่า 244,981.5 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 238,368.9 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 6,612.6 ล้านดอลลาร์ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลครั้งแรกในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 40
อย่างไรก็ตาม ภาคการเงินคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 55 มีโอกาสที่จะบวกลบได้ประมาณ 0.25% จากปัจจุบัน 3% ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3.4% เพราะเชื่อว่าภาครัฐจะมีนโยบายและมาตรการในการดูแลอัตราเงินเฟ้อ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 31.00-31.50 บาท/ดอลลาร์