สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย. ร่วงลง 5.4% แตะที่ 4.37 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน
อย่างไรก็ตาม ราคากลางของบ้านมือสอง ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.9% สู่ระดับ 189,400 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
การร่วงลงของยอดขายบ้านมือสองสะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 6.9% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. สู่ระดับ 760,000 ยูนิต และพุ่งขึ้นถึง 23.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวนับว่าสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวสู่ระดับ 745,000 ยูนิต ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ รายงานของบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลางสหรัฐ (เฟรดดี แมค) ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัว แม้ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงเผชิญกับปัญหาด้านแรงงานอย่างต่อเนื่อง
รายงานดังกล่าวระบุว่า อัตราดอกเบี้ยจำนองที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากมาตรการ "Operation Twist" ของธนาคารกลางสหรัฐ ได้กระตุ้นอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยและนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้าน และแม้กระทั่งราคาบ้านในหลายตลาด
ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 719,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 17% และยอดขายบ้านมือสอง เพิ่มขึ้น 7% ในระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
แฟรงค์ นอธาฟท์ รองประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเฟรดดี แมค กล่าวว่า "ถึงแม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะไม่ได้มีบทบาทเช่นเดิมในการพ้นจากภาวะวิกฤตรุนแรงได้ภายในวันเดียว แต่ก็มีส่วนสำคัญและปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมามีบทบาทในเศรษฐกิจผ่านทางการจ้างงานในภาคก่อสร้าง การปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือ การซื้อขายบ้าน"