กระทรวงพลังงานร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีจัดเวทีสัมมนา หัวข้อเรื่อง "Energy Forum on Oil Risk Management" เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการเตรียมความพร้อมในการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และก่อให้เกิดความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี
นายคุรุจิต นาครทรรพ โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เมื่อต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติเห็นชอบให้มีการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของประเทศเพิ่มเป็น 90 วัน ทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป โดยจะให้ภาคเอกชนสำรองเพิ่มเป็น 6% คิดเป็นปริมาณสำรอง 43 วัน ส่วนที่เหลือรัฐบาลจะต้องลงทุน เพื่อให้สำรองน้ำมันครบเป็น 90 วัน ซึ่งถือเป็นนโยบายที่มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบกว่าร้อยละ 85 ของการจัดหา จึงมีความเสี่ยงที่อาจจะประสบกับกับภัยสงครามและภัยธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เกิดการหยุดชะงักของการจัดหาน้ำมันให้เพียงพอต่อความต้องการ(Oil Supply Disruption)
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้เล็งเห็นความสำคัญของการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสภาวะวิกฤตด้านน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษารูปแบบและแนวทางการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ที่มีประสบการณ์และความพร้อมด้านการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างศึกษาการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษที่จะเข้าดำเนินการเรื่องการสำรองน้ำมันของประเทศ โดยได้นำประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารและการสำรองน้ำมันจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่นและไต้หวันที่มีการสำรองน้ำมันกว่า 100 วัน
"ผลการศึกษาเร่งเสร็จให้เร็วที่สุดแต่ไม่รู้ว่าสิ้นปีนี้จะได้หรือเปล่า แต่ก็พยายามจะให้เสร็จทันรัฐบาลนี้" นายคุรุจิต กล่าว
โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เกาหลีเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานในปริมาณที่สูงเหมือนประเทศไทยและเห็นความสำคัญของการจัดตั้งการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี จึงได้มีการพัฒนาการเก็บสำรองน้ำมันทั้งแบบบนบก ใต้ดิน และลอยในทะเล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเก็บสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ รวมถึงมีการจัดตั้งองค์กรการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ(Korean National Oil Corporation; KNOC) ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการยกร่างกฎระเบียบ และคัดเลือกเทคโนโลยีการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจสังคม และภูมิศาสตร์ของประเทศไทย
ด้านนาย Lim Jae-hong เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐเกาหลีประเทศไทย กล่าวว่า เกาหลีได้มีการจัดสำรองน้ำมันถึง 190 วันหรือ 140 ล้านบาร์เรล จากคลังน้ำมันที่มีอยู่ 9แห่ง เนื่องจากเกาหลีต้องนำเข้าพลังงาในปริมาณสูงเหมือนไทย และที่ผ่านมาได้ประสบช่วงลำบากเมื่อครั้งที่เกิด Oil Shock 2ครั้ง จึงเห็นความสำคัญของการจัดตั้งการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20ปี
ทั้งนี้ เกาหลีได้มีการพัฒนาการเก็บสำรองน้ำมันทั้งแบบบนบก ใต้ดิน และลอยในทะเล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเก็บารองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ รวมถึงการจัดตั้งองค์กรการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ ผ่าน Korean. National Oil Corporation (KNOC) ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของไทยที่อยู่ระหว่างการยกร่างกฎระเบียบและคัดเลือกเทคโนโลยีการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิขสังคมและภูมิศาสตร์ของไทย
สำหรับการจัดสัมมนาในครั้งนี้ นอกจากประเทศไทยจะได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทางเลือกที่เป็นไปได้และการบริหารจัดการความเสี่ยงของการจัดหาน้ำมันให้เพียงพอต่อความต้องการของชาติแล้ว ผู้เข้าร่วมสัมมนายังได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐ และเอกชน จากเกาหลีและประเทศไทย เกี่ยวกับทิศทางในการพัฒนาระบบการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งคาดว่าเวทีนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมทั้งองค์ความรู้ในการพัฒนาและเตรียมความพร้อมด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น