กระทรวงอุตสาหกรรม เผยผลการเดินทางไปชักจูงการลงทุนใน 2 เมืองใหญ่ ณ กรุงเบอร์ลิน และกรุงปารีส โดยที่ นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมพบกับบริษัทชั้นนำของเยอรมนีและฝรั่งเศส เพื่อเชิญชวนมาลงทุนในไทย ซึ่งหลายรายสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยและในอาเซียน คาดว่าจะเกิดการลงทุนรวมกันไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาท
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงผลการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนจากการเดินทางไปเยอรมนี และฝรั่งเศส ในระหว่างวันที่ 17-21 ก.ค.ว่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะบริษัทชั้นนำของทั้ง 2 ประเทศ แสดงความสนใจจะเข้ามาลงทุนหรือขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยบริษัทชั้นนำได้สอบถามกระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอถึงนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนแบบเชิงลึก อีกทั้งบริษัทหลายรายมีแผนที่จะเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังด้วย
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมหารือกับนักธุรกิจชั้นนำของเยอรมนี และฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน โดยได้ร่วมพบปะหารือรายบริษัทกับบริษัทชั้นนำของเยอรมนี ซึ่งมีความสนใจเข้ามาลงทุนหรือขยายธุรกิจในประเทศไทยและอาเซียน โดยบริษัทซีเมนส์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ของเยอรมนีแสดงความสนใจที่จะจัดหาตู้รถและระบบขนส่งสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของไทยในอนาคต เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า, รถไฟใต้ดิน, โครงการแอร์พอร์ตเรลลิงค์, โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เป็นต้น
ขณะที่บริษัท ไบเออร์ ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งเป็นบริษัทเยอรมันที่มีเงินลงทุนสูงสุดในประเทศไทยแสดงความสนใจจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ยังได้หารือรายบริษัทกับนักธุรกิจชั้นนำของฝรั่งเศสในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ บริษัทมิชลิน ผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำของโลก ซึ่งมีธุรกิจอย่างครบวงจรในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นฐานการผลิต สำนักงานปฎิบัติการภูมิภาคและศูนย์วิจัยพัฒนา โดยบริษัทได้มีการหารือเรื่องการขยายการลงทุนในอนาคตกับนายกรัฐมนตรี
ขณะที่บริษัท MPO ซึ่งได้ลงทุนผลิตซีดี และ ดีวีดี ในประเทศไทยอยู่แล้ว มีความสนใจที่จะขยายการลงทุนเพื่อสนับสนุนตลาดอุตสาหกรรมบันเทิงในเอเชียและขยายธุรกิจไปในสาขาพลังงานทดแทน
ส่วนการหารือกับบริษัทซาโนฟี่ ปาสเตอร์ ผู้ผลิตวัคซีนชั้นนำของโลกนั้น มีแผนจะผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่ระดับต้นน้ำร่วมกับบริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด (GPO-MBP) นอกจากนี้ ยังได้หารือกับบริษัท Perstorp ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลกซึ่งสนใจที่จะลงทุนในเอเชียผ่านบริษัท Vencorex ร่วมกับ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เพื่อผลิตสารตั้งต้นสำหรับโพลียูรีเทนซึ่งใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น เบาะรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ประเภทฉนวนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โครงการนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากนักลงทุนเยอรมัน จำนวน 250 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 82,700 ล้านบาท ขณะที่โครงการลงทุนจากฝรั่งเศสมีจำนวน 137 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท