นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ทั้งปีไทยจะยังคงเป็นแชมป์ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ด้านปริมาณการส่งออกข้าวทั้งปีคาดว่าการออกมาเปิดเผยข้อมูลของภาคเอกชนช่วงนี้เป็นเพียงการนำสถิติช่วงระยะสั้นออกมาเปิดเผยเท่านั้น
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก โดยที่ผ่านมารัฐบาลสามารถขยับราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นจาก 8,000-9,000 บาทต่อตัน เป็น 11,000 บาทต่อตัน ขณะที่ข้าวส่งออกขยับจาก 400-500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 600 ดอลลารสหรัฐต่อตันสำหรับข้าวขาว
ส่วนกรณีผู้ประกอบการค้าข้าวออกมาระบุว่าไทยเสียแชมป์จากอันดับ 1 เป็นอันดับ 3 ของโลกนั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า หลังจากไทยปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าข้าวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อต้องการผลักดันราคาให้ขยับสูงขึ้น เพราะต้องการดูแลเกษตรกรชาวนาให้มีรายได้สูง พบว่า ไทยยังเป็นแชมป์ส่งออกตลอด โดย 6 เดือนแรกของปีนี้สามารถส่งออกข้าวได้ถึง 3.7 ล้านตัน แต่เนื่องจากขณะนี้อินเดียและเวียดนามเร่งส่งออกจึงทำปริมาณเพิ่มขึ้น ส่วนไทยต้องการขยับราคาข้าวให้สูงขึ้นเพื่อเน้นการขายข้าวที่มีคุณภาพ
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาล ภาคเอกชนกลับพากันกดราคาจึงต้องล้มประมูล และเมื่อรัฐบาลพยายามระบายข้าวออกโดยขายแบบจีทูจี เอกชนมักจะอ้างว่าทำให้ตลาดข้าวได้รับความเสียหาย
"ที่ผ่านมาเอกชนผู้ส่งออกได้รับประโยชน์จากการขายข้าวพอแล้ว จากนี้ไปต้องการให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น จึงกำหนดราคารับจำนำสูงโดยปีที่ผ่านมาไทยส่งออกข้าวได้ถึง 10.6 ล้านตัน เวียดนามส่งออก 6 ล้านตัน ต่อไปรัฐบาลจะเน้นขายข้าวคุณภาพที่ได้ราคา ไม่เน้นการส่งออกเพื่อหวังปริมาณให้สูง"นายยรรยง กล่าว
สำหรับกรณีการประชุมเชิงปฏิบัติการประชาคมเศรษฐอาเซียน (เออีซี) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เตรียมเสนอที่ประชุมจับมือกับประเทศผู้ผลิตข้าวไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่าซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกข้าวรวมกันคิดเป็น 2 ใน 3 ของโลก เพราะเป็นฐานการผลิตข้าวและส่งออกรายใหญ่ของโลก เพื่อจับมือเป็นพันธมิตรมากกว่าที่จะมาเป็นคู่แข่ง
"มาร่วมกันพัฒนาข้าวแบ่งเกรดข้าวตามราคา ข้าวคุณภาพดีต้องขายราคาสูง ข้าวคุณภาพปานกลางจะมีราคาลดลงเพื่อให้ตลาดโลกและผู้บริโภคมีโอกาสเลือก และการจับมือกันจะสามารถผลักดันราคาข้าวสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร"นายยรรยง กล่าว
ส่วนการขาดดุล 6 เดือนแรก 360,000 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตกใจ เพราะในช่วงที่ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นขยายกิจการ ขยายการลงทุน จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เป็นการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยสินค้าสำเร็จรูป เมื่อนำเข้ามาแล้วจะนำมาผลิตก่อให้เกิดการส่งออกในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ดังนั้นการขาดดุลการค้าเพื่อการลงทุนถือเป็นเรื่องไม่น่าตกใจ เพราะเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก