กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัว 1.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวราว 1.4% หลังจากที่ขยายตัว 1.9% ในไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐถือเป็นการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตรา 1.3% ในไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว เนื่องจากชาวอเมริกันปรับลดการใช้จ่ายลงอย่างมาก ซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจอาจหยุดชะงักเป็นเวลา 3 ปีหลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลง
สาเหตุหลักที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอเป็นเพราะการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ช้าลง โดยมีอัตราการเติบโตเพียง 1.5% ซึ่งลดลงจากระดับ 2.4% ในไตรมาสแรก โดยชาวอเมริกันจับจ่ายซื้อสินค้าในกลุ่มยานยนต์ คอมพิวเตอร์ และสินค้าการผลิตที่มีอายุการใช้งานยาวนานน้อยลง แต่เพิ่มการจับจ่ายซื้อสินค้าการบริการเพิ่มขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐลดลงในอัตรา 1.4% ต่อปีในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับระดับ 3% ในไตรมาสแรก
การขยายตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 2% นั้นไม่เพียงพอที่จะลดอัตราว่างงานของสหรัฐที่อยู่ในระดับ 8.2% ในเดือนที่แล้วได้ และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่คิดว่าการขยายตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคจะกระเตื้องขึ้นมากนักในไตรมาส 2 ของปีนี้ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่าวิกฤตการเงินในยุโรป และวิกฤตงบประมาณในสหรัฐอาจฉุดรั้งการลงทุนภาคธุรกิจให้ทรุดตัวลงอีก
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า อัตราการขยายตัวของจีดีพีสหรัฐจะชะลอตัวลง อันเป็นผลมาตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้ชาวอเมริกันลดการใช้จ่าย โดยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐนั้น ชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป และการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาคเอกชน
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีสหรัฐในปีนี้ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.9-2.4% เทียบกับที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ 2.4-2.9% พร้อมกับคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะยืนอยู่ที่ 8-8.2% ในปี 2555 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ระดับ 7.8-8%