(เพิ่มเติม) ผู้ว่า ธปท.ระบุหากศก.ไทยปีนี้โตได้ 5.7% ถือว่าไม่เลว แม้มาจากฐานต่ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 31, 2012 11:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวในการสัมมนา"GDP ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยแค่ไหน"ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภาว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 55 หากเติบโตได้ถึง 5.7% ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)คาดการณ์ ก็ถือว่าไม่เลวนัก แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากฐานปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำก็ตาม

แม้การเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง แต่หากขาดการเติบโตแล้ว คงไม่สามารถบอกได้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง หากนึกถึงเครื่องชี้ที่สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจคงหนีไม่พ้นเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจตัวสำคัญของประเทศที่เรียกกันว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product:GDP) เพราะเป็นเครื่องชี้ที่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในประเทศที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก โดยวัดจากผลรวมของมูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตได้ภายในประเทศไทยในรอบระยะเวลาหนึ่ง เช่น ในหนึ่งไตรมาสหรือหนึ่งปี

ตัวเลข GDP นี้นักเศรษฐศาสตร์มักใช้วิเคราะห์คู่กับ Gross National Product(GNP)ซึ่งเป็นเครื่องชี้ที่ใช้วัดผลรวมของมูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตได แต่นับเฉพาะที่ผลิตได้โดยคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม เครื่องชี้หลังนี้จะช่วยบอกว่าเศรษฐกิจเติบโตได้จากการผลิตของคนที่มีสัญชาติไทยจริงๆ เป็นเท่าไร อย่างไรก็ดี ในประเทศไทยตัวเลข GDP และ GNP ไม่ได้แตกต่างกันมากนักทั้งในแง่ของระดับหรืออัตราการขยายตัว ในทางปฏิบัติจึงมักใช้ GDP ซึ่งมีความเป็นสากลมากกว่าเพียงตัวเดียว

จากข้อดีที่ GDP สามารถช่วยในการเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ได้ ทำให้ GDP มักเป็นตัวเลขที่สำคัญที่มักใช้ประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เนื่องจาก GDP มีหลักการและวิธีการคำนวณที่มีมาตรฐานชัดเจนและถือปฏิบัติกันเป็นสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ทุกประเทศต่างต้องเผชิญกับการแข่งขันในระดับสูง แต่ละประเทศล้วนต้องการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศตนให้ดีขึ้น การเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต่างชาติกำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศใด ไทย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม ปัจจัยแรกที่จะเป็นจุดเด่นในสายตาของนักลงทุนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา นอกเหนือไปจากการดูถึงคุณภาพของแรงงาน หรือกฎระเบียบต่างๆ ในการลงทุน คงหนีไม่พ้น GDP เพราะ GDPสามารถเปรียบเทียบการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้รวมหรือกำลังซื้อของประชากรในประเทศนั้นๆ ได้

นอกจากนี้ GDP ไม่ได้มีประโยชน์ต่อเพียงภาคเอกชนเท่านั้น GDP ยังเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายของภาครัฐเช่นกัน เนื่องจากองค์ประกอบของ GDP สามารถบอกลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ยกตัวอย่างในกรณีของประเทศไทย ประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP เป็นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในขณะที่สัดส่วนของการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มลดลงจากในอดีต ดังนั้น GDP จึงเป็นเครื่องชี้ตัวหนึ่งที่ภาครัฐสามารถใช้ประกอบการวางนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้การวิเคราะห์ภาพเหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถวิเคราะห์เศรษฐกิจได้ถูกต้อง ชัดเจน และสนับสนุนการตัดสินใจในการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการดำเนินธุรกิจของเอกชนให้เกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมยิ่งขึ้น

หากมองย้อนอดีตจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี แต่จะเชื่อได้อย่างไรว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่เด็กที่มีร่างกายเติบโต ก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าจะมีร่างกายที่สมส่วน มีกำลัง มีพัฒนาการที่ดี และมีชีวิตชีวาเสมอไป เพราะร่างกายที่เติบโตสูงใหญ่ไม่อาจเพียงพอที่จะบอกว่าเด็กๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง ในมุมของเศรษฐกิจก็เช่นกัน GDP ที่ขยายตัวไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งได้ ดังนั้น เราจึงควรหมั่นดูแลองค์ประกอบภายในของเศรษฐกิจที่ไม่ได้สะท้อนจากตัวเลข GDP โดยเฉพาะองค์ประกอบสำคัญทั้ง 3 ด้าน ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์

องค์ประกอบเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ องค์ประกอบแรก คือ ความสมดุลของการเติบโตทางเศรษฐกิจ หมายถึงเศรษฐกิจที่เติบโตจะต้องไม่มาพร้อมกับแรงจูงใจให้มีการเก็งกำไร ไม่สร้างให้ธุรกิจหรือครัวเรือนก่อหนี้จนเกินตัว หรือสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวม นอกจากนี้ ยังหมายถึงทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจจะต้องมีการเติบโตอย่างเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ภาคเศรษฐกิจหนึ่งถดถอย เราก็จะมีอีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่สามารถประคับประคองให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้การที่ต้องพูดถึงเรื่องความสมดุลก็เพราะว่าประเทศไทยได้เรียนรู้ประสบการณ์จากอดีตทั้งของตนเองและของต่างประเทศ

ประสบการณ์แรก เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนปี 2540 เติบโตได้ในระดับสูง แต่แล้วกลับติดลบและเข้าสู่ภาวะวิกฤตในปีถัดมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจเติบโตแบบขาดเสถียรภาพในบางสาขา โดยเฉพาะจากการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความหละหลวมในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งในขณะนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีจุดเด่นที่น่าดึงดูดต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง อสังหาริมทรัพย์จึงเป็นสินทรัพย์ประเภทเก็งกำไรที่คนนิยมไปขอกู้เงินเพื่อให้ได้ครอบครอง จึงกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่สามารถนำพาวิกฤตเศรษฐกิจมาพร้อมๆ กับวิกฤตการเงินได้

เมื่อเวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ ในช่วงปี 2551 วิกฤตเศรษฐกิจได้หวนกลับมาอีกครั้ง เหมือนเอาโครงเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่ครั้งนี้ละเอียดและลึกซึ้งกว่าเดิม เนื่องจากเป็นประสบการณ์ของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และกลุ่มยูโร ที่เกิดจากการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้านวินัยการคลัง รวมถึงสภาวะการปล่อยสินเชื่อและฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งวิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมค่อนข้างมากเช่นกัน โดยเฉพาะต่อภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออก แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่าภายใต้วิกฤตนั้นยังมีภาคเกษตรที่เข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง คนที่ต้องออกจากงานภาคอุตสาหกรรมบางส่วนกลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดและประกอบอาชีพเกษตรกรแทน จึงเป็นตัวอย่างของกรณีที่ว่าทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจต้องมีการเติบโตอย่างเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน

"ผลจากการดำเนินนโยบายที่คำนึงถึงแต่ตัวเลข GDP ในระดับสูงๆ ละเลยเสถียรภาพและความสมดุลของการเติบโต ซึ่งไม่ต่างจากเด็กที่กินอาหารขยะ ร่างกายเติบโต แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ท้ายที่สุดอาจต้องผ่าตัดลดกระเพาะ ดังเช่นประเทศในกลุ่มยูโรที่ต้องรัดเข็มขัดทางการคลังในปัจจุบันจากอดีตสู่ปัจจุบัน"นายประสาร กล่าว

ทั้งนี้ จะเห็นว่าประเทศไทยและหลายประเทศในภูมิภาคต่างเรียนรู้จากวิกฤตและพลิกกลับเป็นประสบการณ์ด้วยการปรับตัวโดยลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศมาสู่ตลาดในประเทศมากขึ้น จนสามารถช่วยกันพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านมาได้ในระดับหนึ่ง และสถานการณ์ในวันนี้ เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มยูโรยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข และยังไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงเมื่อไรและอย่างไร ประเทศไทยคงต้องยึดกุศโลบายเดิม คือ พยายามสร้างความสมดุลและภูมิต้านทานให้แก่เศรษฐกิจ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภัยคุกคามจากทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

องค์ประกอบที่สอง คือ การมีพัฒนาการในการเติบโต หรือในอีกแง่หนึ่งหมายถึงเศรษฐกิจต้องมีการพัฒนาไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ได้สะท้อนอยู่ในอัตราการขยายตัวของ GDP เนื่องจาก GDP ที่เพิ่มขึ้น อาจมีที่มาจากการที่ประเทศมีการใช้จ่ายที่เน้นแต่การบริโภค ไม่ลงทุน ไม่พัฒนาโครงสร้างการผลิตและประสิทธิภาพการผลิตให้เหมาะสมทำให้ในที่สุดประเทศจะย่ำอยู่กับที่ และถูกประเทศอื่นแซงหน้าได้ เพราะสูญเสียความสามารถด้านการแข่งขันในระยะยาว

ดังนั้น หากจะให้ไทยยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพราะจะนำไปสู่หนทางในการลดต้นทุนการผลิต พัฒนาคุณภาพและความหลากหลายของสินค้า รวมถึงเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตทั้งคนไทยและต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งควรที่จะมีการพัฒนาควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ GDP ขยายตัว ภาครัฐและเอกชนจะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาทค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการพัฒนาคุณภาพของระบบการศึกษาที่จะช่วยยกระดับคุณภาพของประชากรในประเทศ เพิ่มการวิจัยและพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการผลิตมากขึ้นและสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะของแรงงานให้มีความรู้และความชำนาญในงานได้อย่างจริงจัง

มาถึงจุดนี้อาจมีคำถามว่าแล้วปัจจุบันประเทศไทยมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพการผลิตอยู่ในระดับใดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องชี้พื้นฐานหนึ่งที่สามารถใช้พิจารณาได้ คือ GDP per capita หรือระดับรายได้ต่อคนที่บ่งบอกถึงความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่ประชากรหนึ่งคนในประเทศผลิตได้ ซึ่งเครื่องชี้นี้อาจขัดแย้งกับระดับของมูลค่า GDP ที่มักจะถูกหยิบยกมาใช้เป็นตัวชี้วัดพัฒนาการของประเทศด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น จากการจัดอันดับของ IMF ในปี 2011 ขนาดของเศรษฐกิจไทยที่วัดจากระดับมูลค่า GDP จะใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของโลกจาก 183 ประเทศ แต่หากดูระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจซึ่งวัดได้จาก GDP per capita ตัวนี้แล้วอันดับของไทยจะตกไปอยู่ที่ 90 ของโลก

นอกจาก GDP per capita แล้วเรายังสามารถติดตามการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้จากการสำรวจของสถาบันการจัดอันดับการแข่งขันที่ชื่อว่า IMD World Competitiveness และ The Global Competitiveness Report เพื่อบ่งชี้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยผลการสำรวจล่าสุดที่เพิ่งประกาศไปเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าจากทั้งหมด 59 ประเทศที่ทางสถาบันฯ ได้สำรวจอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงมาอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 27 ในปีก่อน และมีอันดับแย่ลงในทุกด้านโดยหากดูเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานจะยิ่งเห็นชัดว่าเราแย่ลงต่อเนื่องติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2552 ทั้ง ๆ ที่อัตราการขยายตัวของ GDP ในช่วงปี 2553 ก็สามารถขยายตัวได้สูงถึง 7.8%

ดังนั้น การดูเพียงตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าประเทศมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมีการพัฒนาที่ดี มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการแข่งขัน ทั้งที่ในความเป็นจริงอัตราการขยายตัวของ GDP อาจจะยังไม่สามารถสะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างสมบูรณ์ การพิจารณาว่าประเทศมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพียงใด จึงต้องพิจารณาข้อมูลอื่นที่สะท้อนความสามารถในการแข่งขันของประเทศประกอบด้วย เพราะนั่นจะเป็นตัวที่กำหนดจุดยืนของประเทศว่าในระยะยาวแล้วไทยจะอยู่อันดับที่เท่าไรของโลก

นอกจากนี้ ในปี 2015 หรืออีกเพียง 2 ปีเศษเราจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)จึงต้องยิ่งระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ตกขบวนรถไฟ พร้อมทั้งต้องเพิ่มจุดแข็งให้แก่ประเทศควบคู่กันไป โดยอาจต้องเริ่มติดเครื่องพัฒนาศักยภาพของประเทศตั้งแต่วันนี้ จะต้องไม่มองเพียงแต่ว่าเราแข่งกับตัวเองเท่านั้น แต่ควรมองประเทศอื่นอย่างรอบด้าน เพราะในระยะต่อไปการแข่งขันระหว่างประเทศจะมีความเข้มข้นมากขึ้น

สำหรับองค์ประกอบที่สาม คือ การเติบโตต้องมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ช่วยให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายในการครองชีพที่ไม่สูงจนเกินไป รวมถึงการกระจายโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง ซึ่งอัตราการขยายตัวของ GDP ไม่สามารถสะท้อนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านั้นได้ เพราะหากเศรษฐกิจเติบโต แต่ปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ปล่อยให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ตกอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นเวลานาน ในที่สุดจะนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและความไม่สงบทางการเมือง จนอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสะดุดลง

ดังนั้น เศรษฐกิจจะเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมควรที่จะลดลง ประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า พร้อมกับโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมอย่างเท่าเทียม ทั้งโอกาสการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล ความคุ้มครองทางกฎหมายและแหล่งเงินทุน

ในส่วนของ ธปท.ได้เริ่มไปบ้างแล้วโดยมีการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนทุกระดับโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น รวมทั้งยังมีการสอดส่องดูแลไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน และยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมทางอ้อมจากการดูแลค่าครองชีพไม่ให้สูงจนเกินไป โดยการพยายามรักษาระดับราคาสินค้าไม่ให้ผันผวนมากนัก หรือที่เราเรียกกันว่าการดูแลเงินเฟ้อ โดยหากราคาสินค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้านค่าครองชีพของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนความเหลื่อมล้ำทางรายได้นั้น หนทางการแก้ไขที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาคือการกระจายรายได้ที่เท่าเทียม แต่โอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันจะมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกว่าการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน เนื่องจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทุนมนุษย์ และลดปัญหาทางสังคม ทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงในแต่ละก้าวของการเติบโตของประเทศ โดยไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะลดทอนประสิทธิภาพลง ซึ่งจะแตกต่างจากแนวคิดของการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกันที่อาจสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดทอนประสิทธิภาพลง เพราะหากทุกคนทราบว่าไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงาน จะได้รับรายได้ที่เท่ากัน สุดท้ายจะไม่เหลือใครที่อยากทำงานหรือหากต้องทำก็จะทำแบบไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

องค์ประกอบสุดท้ายจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนของเราจะต้องมีความกินอยู่ที่ดี จากการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมยืนหยัดอยู่บนเวทีโลกได้อย่างมั่นคง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ