ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rates) ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.) พร้อมกับยืนยันว่า เฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2557 โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เฟดระบุว่าจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหากจำเป็น ขณะเดียวกันเฟดได้ปรับลดมุมมองทางเศรษฐกิจลงจากการประชุมครั้งก่อน โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ "ค่อนข้างชะลอตัวลง" จากที่เคยประเมินในการประชุมครั้งก่อนว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ "ขยายตัวปานกลาง"
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ระบุว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐค่อนข้างชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เฟดคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้านี้ และคาดว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจจะเริ่มกระเตื้องขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนตลาดแรงงานนั้น การขยายตัวด้านการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูง ทั้งนี้ เฟดคาดว่าการที่อัตราว่างงานจะลดลงจนถึงระดับที่เฟดพอใจนั้น 'จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า'
นอกจากนี้ แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า "การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การขยายตัวด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2554 ส่วนภาวะตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลกยังคงส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คณะกรรมการเอฟโอเอ็มซีจะต้องติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจและความคืบหน้าด้านการเงินอย่างใกล้ชิด และจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเพื่อให้ตลาดแรงงานฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา"
ส่วนในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการเอฟโอเอ็มซีมีมติขยายเวลาการใช้มาตรการ Operation Twist ไปจนถึงสิ้นปี 2555 โดยเฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ และขายพันธบัตรระยะสั้นประเภทที่มีอายุไม่เกิน 3 ปีในวงเงินเท่ากัน โดยมีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานให้ขยายตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้แรงกดดันด้านการเงินผ่อนคลายลงด้วย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ก.ย.นี้